posttoday

อาชีพที่ได้รับโบนัส เป็นรอยจุ๊บทุกๆ วัน

13 กันยายน 2558

คำถามหนึ่งที่หนูดีได้รับบ่อยมากจากคนทุกรุ่น ไม่ว่ารุ่นใหม่ รุ่นใหญ่ รุ่นเล็ก คือ “อยากเปิดโรงเรียนจะเริ่มอย่างไร”

โดย...หนูดี-วนิษา เรซ ภาพ เอพี

คำถามหนึ่งที่หนูดีได้รับบ่อยมากจากคนทุกรุ่น ไม่ว่ารุ่นใหม่ รุ่นใหญ่ รุ่นเล็ก คือ “อยากเปิดโรงเรียนจะเริ่มอย่างไร” ​เพราะการเป็นเจ้าของโรงเรียนน่ารักๆ สักโรงเรียนหนึ่งดูจะเป็นความฝันของใครต่อใครหลายคน ส่วนใหญ่แล้ววาดฝันเป็นฝันใสๆ คล้ายๆ คนอยากเป็นเจ้าของร้านกาแฟเล็กๆ น่ารักสักร้าน หรือเจ้าของร้านอาหารฮิปๆ เก๋ๆ สักแห่ง

หนูดีเองเป็นเจ้าของโรงเรียนเบอร์หนึ่งคือ “วนิษา รังสิต” และตอนนี้เพิ่มเติมมาคือ “วนิษา สุขุมวิท 26” ซึ่งเป็นโรงเรียนอนุบาลหลักสูตรนานาชาติกลางเมือง เลยได้โอกาสปัดฝุ่นทักษะการสร้างโรงเรียนทั้งโรง ขอใบอนุญาตจัดตั้ง ว่าจ้างคุณครูทั้งไทยและต่างประเทศ ซื้อหลักสูตรใหม่จากอเมริกา (และบินไปรับเองอีกต่างหาก) ซื้อหลักสูตรดนตรี Kindermusik และเทรนครู ทำห้องยิมเด็กเบบี๋ในร่ม ทำห้อง Cooking ดูแลสระน้ำเกลือและระบบต่างๆ รวมถึงคุยกับโรงเรียนสาธิต Oppenhiem Lab School ของ Keystone College ในสหรัฐ เพื่อเข้าระบบ Sister School คือแชร์หลักสูตรและกิจกรรมเด็ก & ครูด้วยกัน เรียกได้ว่า ทั้งหมดกำลังเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ และหนูดีเองนอกจากมีตำแหน่งเจ้าของแล้ว ยังพ่วงตำแหน่ง “เจเนอรัลเบ๊” ด้วยการดูแลในทุกๆ ด้านตั้งแต่อาหารไปจนถึงระบบการศึกษาที่เราจะเลือกใช้ให้เหมาะสม (โรงเรียนวนิษา สุขุมวิท โทร. 08-1350-3972)

สำหรับหนูดีแล้วการเป็นเจ้าของโรงเรียนไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพียงแค่เราได้เป็นคุณครูอยู่ท่ามกลางเด็กน่ารักๆ เพราะโรงเรียนแห่งหนึ่งนั้นคือองค์กรที่ต้องมีฟังก์ชั่นให้ครบทุกด้าน ต้องมีหลักสูตร มีอาหาร มีรถโรงเรียน มีสระว่ายน้ำ มียิม มีสนามเด็กเล่น มีสวน ฯลฯ เพราะฉะนั้นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้คือ การเป็นเจ้าของโรงเรียนนั้นแทบจะเทียบเท่ากับการที่เราต้องบริหารกิจการร้านอาหาร (อาหารเบบี๋​ อาหารครู อาหารคนงาน อาหารขายในคาเฟ่โรงเรียน) ต้องบริหารกิจการเดินรถ (รถตู้โรงเรียน) ​ต้องบริหารกิจการสปอร์ตคลับ (โรงยิมและสระว่ายน้ำ อาจรวมถึงสนามเทนนิส กอล์ฟ สนามบอล แบด) และกิจการสวนผัก (หากโรงเรียนปลูกผักและเห็ดรับประทานเอง) กิจการ รปภ. (ยามโรงเรียนและความปลอดภัยโดยรวม)

เรียกได้ว่า นอกจากความรู้และการศึกษาซึ่งเป็นหน้าที่หลักแล้ว การดูแลองค์กรแบบนี้ต้องแบ่งสมองออกเป็นหลายส่วนมากๆ และต้องทำให้ได้สมบูรณ์ทุกส่วนด้วย โดยเริ่มต้นที่แรกคือ “ความปลอดภัย” ​ของเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งหนูดีมักมีคำพูดเสมอว่า “เราไม่สามารถสอนเด็กที่ตายแล้วได้” ดังนั้น ก่อนการศึกษา ความปลอดภัยมาก่อนเสมอ ถ้าวันหนึ่งใครทำงานกับเด็กจะรู้ว่า การนอนฝันร้ายถึงเด็กจมน้ำ เด็กตกตึก เด็กหัวฟาด แขนหักขาหัก ฯลฯ​ เป็นการฝันปกติของเรา เพราะมันจะกลายเป็นความกลัวที่ลึกที่สุดอันหนึ่งในชีวิตไปโดยปริยาย

ความกลัวตรงนี้จะนำมาสู่ทักษะที่จำเป็นมากคือ “การเป็นคนโรคจิตอ่อนๆ ในเรื่องของเด็ก” เพราะการที่เราคิดไปก่อน กลัวและกังวลไปก่อนจะช่วยให้เด็กของเราปลอดภัยเป็นอย่างดีตลอดชีวิตการศึกษาของเด็ก เพราะการสร้างโรงเรียนนั้นนอกจากจะมีกฎกระทรวงที่ควบคุมอยู่อย่างเข้มงวดแล้ว ตัวเราเองก็ต้องเข้มขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งใครเป็นพ่อแม่คนจะรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องขำๆ สมองเราจะถูกฝึกให้เห็นมุมโต๊ะอันคมกริบที่อาจเจาะหัวลูกเราได้ หรือบันไดอันสูงชันที่ลูกเราอาจหล่นลงมา ไปจนถึงสระว่ายน้ำเล็กๆ แต่ลูกเราอาจจมน้ำตายได้ ฯลฯ การคิดแง่ลบไปล่วงหน้าแบบนี้ อาจทำให้เราเหนื่อย แต่เบบี๋ของเราจะปลอดภัยที่สุดค่ะ

ผ่านเรื่องความปลอดภัยมาแล้ว ก็มาถึงแก่นของโรงเรียนซึ่งก็คือ หลักสูตรนั่นเอง คราวนี้ก็มาถึงใจเจ้าของโรงเรียนแล้วว่า เราจะเลือกหลักสูตรแบบไหน ไทยหรือต่างประเทศ ถ้าต่างประเทศจะเป็นแนวอเมริกา อังกฤษ​ ออสเตรเลีย หรือเป็นโรงเรียนญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์​ ตัวเลือกนั้นช่างมากมาย แต่เราต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า อะไรคือข้อดีข้อด้อยของแต่ละหลักสูตร และเมื่อสรุปได้แล้วเราจะ “เขียนหลักสูตร” เพิ่มเติมเองด้วยไหม เพราะการทำหลักสูตรสักอันก็เหมือนเชฟเก่งๆ สักคนที่ต้องสรรค์สร้างผลงานที่เป็น “ลายเซ็น” ของตัวเองให้แตกต่างจากอาหารจานอื่นๆ โดยคำนึงถึงผู้บริโภคเป็นสำคัญ

​อย่างตัวหนูดีเองเรียนมาด้านสมองและการศึกษา โดยจะเฉพาะทางไปด้านพัฒนาการสมองของเด็กตามงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์​ดังนั้น เราเองก็จะต้องเพิ่มเติมให้เด่นชัด โรงเรียนที่สุขุมวิทรับเด็กเล็กตั้งแต่หนึ่งขวบ ดังนั้น เรารู้ว่าเด็กหนึ่งขวบนั้นไม่สามารถนั่งนิ่งๆ เพื่อเรียนหรือคัด ก.ไก่ ข.ไข่ ได้ เราจึงมีกิจกรรมให้เด็กมากมายเพื่อให้เขาสนุก ทั้งดนตรี สระว่ายน้ำ (น้ำเกลือ)​ ห้องยิมแบบ In Door ที่มีทั้งที่ปีนป่าย บ้านลม มุมตีลังกา พื้นที่หนานุ่มไว้เกลือกกลิ้งเล่น มีแทรมโพลีนขนาดใหญ่กลางสนามไว้กระโดด มีห้องเรียนทำอาหารไว้อบขนม (และสอนทักษะคณิตศาสตร์ผ่านการชั่งตวงวัด) เรียนภาษาอังกฤษผ่านดนตรีได้ร้องเพลงและเต้นไปมา

สนุกแบบนี้ ผลก็คือ เบบี๋ของหนูดีติดโรงเรียนมาก อัตราการร้องไห้นั้นจะอยู่ที่ร้องไห้เพราะพ่อแม่มารับเร็ว อยากอยู่เล่นต่อแต่ไม่กลัวการมาโรงเรียน ทั้งนี้ หากเราทำถูกต้อง โรงเรียนต้องเป็นเหมือนโลกมหัศจรรย์ของเด็กที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานจนเด็กๆ อยากมาโรงเรียนทุกวัน จุดพีกที่สุดในชีวิตการเป็นเจ้าของโรงเรียนของหนูดีคือ วันที่คุณพ่อเด็กประถมท่านหนึ่งบอกหนูดีว่า “คุณหนูดี ลูกผมรักโรงเรียนมาก วันป่วยยังจะมาโรงเรียนให้ได้ แถมถ้าลูกดื้อผมขู่เลยว่า ถ้าดื้อจะไม่ให้มาโรงเรียน ลูกผมหยุดเลยครับ กลัวมาก กลัวไม่ได้มาโรงเรียน” นึกไปถึงผู้ใหญ่หลายๆ คนที่เคยโดนพ่อแม่ขู่ว่า ถ้าดื้อจะจับส่งโรงเรียนแล้วรู้สึกว่า คำชมนี้พีกสุดแล้วจริงๆ เป็น
เกียรติมากๆ ที่ได้ยิน

โรงเรียนที่สนุกอย่างเดียวไม่พอ เพราะสมองเด็กต้องได้รับการพัฒนาและใส่สิ่งดีๆ ทุกวันไม่ว่าจะเป็นทักษะใหม่ๆ ภาษา คณิต ฯลฯ รวมถึงบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย แก่นความเชื่อมั่นในตน คนเป็นเจ้าของโรงเรียนรุ่นใหม่ต้องใส่ใจความงดงามเก่าๆ ของสังคมไทยให้มาก ทั้งการไหว้สวย สวดมนต์ได้ เดินผ่านผู้ใหญ่ให้ก้มหลัง ไม่พูดแทรกผู้ใหญ่ ฯลฯ ซึ่งความเป็นผู้ดีเหล่านี้ต้องไม่ให้ขาดไปจากสังคมไทย

ตัวหนูดีเองมีครูฝรั่งและครูไทยประจำทุกชั้นเรียน โดยครูฝรั่งสอนภาษาและสำเนียง ส่วนครูไทยสอนมารยาทไทยและวัฒนธรรมของเรา หนูดีจึงเรียกหลักสูตรนี้ว่า หลักสูตรลูกครึ่ง เพราะรู้สึกว่าฝรั่งไปก็ไม่ดีไทยไปก็ไม่ทันโลก

การเป็นเจ้าของโรงเรียนนั้นสนุก งดงาม ชีวิตมีสีสันทุกวัน โดยเฉพาะชีวิตกับเด็กเบบี๋ที่กอดแล้วชื่นใจทุกคน และเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้หนูดีรักการทำโรงเรียน หากใครมีใจรักและไม่กลัวความเหนื่อยในฐานะพ่อแม่ที่มีเบบี๋หลักร้อยทุกๆ วันยันสามโมงเย็นก็ขอเชิญชวนค่ะ งานนี้ได้รับโบนัสเป็นจุ๊บเปียกๆ และกอดแน่นๆ ทุกวันเลย

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์-FWD คว้า 3 รางวัล Adman Awards 2025 ตอกย้ำเข้าถึงลูกค้าทุก Gen ด้วย "ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย"