posttoday

อุบัติเหตุสอนชีวิต เกริกไกร วิทยาสงเคราะห์

13 กันยายน 2558

เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียวอุบัติเหตุบนท้องถนนย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ เช่นเดียวกับเหตุการณ์ของ

โดย...วราภรณ์

เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียวอุบัติเหตุบนท้องถนนย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ เช่นเดียวกับเหตุการณ์ของผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท เมืองไทยประกันภัย เจ๋ง-เกริกไกร วิทยาสงเคราะห์ ที่มีรอยยิ้มสดใสอยู่เป็นนิจ เกิดอุบัติเหตุโดนรถยนต์อีกคันวิ่งเข้ามาชนโครมเดียวด้วยความเร็ว ที่หากเขาไม่มีสติดีพอที่จะบังคับรถให้วิ่งไปข้างหน้าอีกนิด รถยนต์อีกคันก็จะชนเข้าบริเวณคนขับอย่างจัง จากที่บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ลำไส้ที่อักเสบเรื้อรังแตก ซึ่งหมายถึงตายสถานเดียว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังต้องตัดลำไส้ใหญ่ที่ไหลออกมาทิ้งไปยาวถึง 2 ฟุต ซึ่งนับเป็นข้อดีเพราะหากปล่อยทิ้งไว้ลำไส้ใหญ่ที่อักเสบอยู่เป็นเวลานานอาจกลายเป็นเนื้อร้ายในอนาคตก็ได้

ไม่มีลางบอกเหตุร้าย

ช่วงเที่ยงของวันหนึ่งปลายเดือน ก.พ. งานด้านประชาสัมพันธ์ที่ทำยุ่งมากๆ เพราะบางครั้งต้องติดตาม มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย ไปทำภารกิจมากมาย เกริกไกรจำได้ว่าวันนั้นยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงด้วยซ้ำ เพราะมีงานด่วนช่วงบ่ายต้องออกไปงานย่านคลองตัน เกริกไกรจึงขับรถออกจากออฟฟิศย่านรัชดาฯ มุ่งหน้าไปคลองตันด้วยเส้นทางลัดที่เขาคุ้นเคยจากสุทธิสารวิ่งเข้าแยกเหม่งจ๋าย อ้อมออกทางลัดตรงวัดพระราม ๙ แต่จังหวะที่ออกจากซอยลัดเพื่อขอทางเข้าเส้นทางหลักคือพระราม 9 ด้านขวามือ เขาจึงค่อยๆ ขอเปลี่ยนเลนเพื่อเข้าเส้นทางหลัก แต่จังหวะนั้นมีรถร่วมกตัญญูขับมาด้วยความเร็วเพื่อไปเก็บศพคนโดดตึกย่านลาดพร้าว พุ่งเข้าชนอย่างจัง

“ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เจ๋งไม่ได้ยินเสียงไซเรนเลย เกือบจะเข้าทางหลักได้แล้ว แต่หันไปอีกทีรถคู่กรณีก็ชนเข้ากลางลำรถพอดี แต่ ณ เวลานั้นได้ยินเสียงเบรกดังมาก และเพียงเสี้ยววินาทีเราตัดสินใจได้แค่เราจะเลือกเบรกหรือไม่เบรก เพราะหากเบรกรถเจ๋งจะถูกชนเข้าตรงคนขับพอดี แต่สติตอนนั้นบอกให้เราพุ่งรถไปด้านหน้านิดหนึ่ง เพื่อให้โดนด้านหลังมากที่สุด เลยโดนชนเข้าตรงโครงกลางของรถพอดี ซึ่งตอนนั้นเจ๋งคาดเข็มขัดนิรภัย ตัวจึงไม่กระเด็นกระแทกอีกฝั่งหนึ่ง”

หลังจากถูกชนเขาสังเกตว่าไม่รู้สึกเจ็บปวดบริเวณไหนเลย จึงรีบพยายามนำตัวเองออกมาจากรถให้เร็วที่สุด เพราะรถคู่กรณีเกิดควันไฟออกมาจากหน้าหม้อรถ

อุบัติเหตุสอนชีวิต เกริกไกร วิทยาสงเคราะห์

 

แค่รถบุบ (แต่ซ่อมไม่ได้)

“ตอนนั้นเจ๋งไม่เกิดอาการอะไร ยังเดินไปถามคู่กรณีว่าเป็นอะไรหรือเปล่า เพราะเขาดูเจ็บไม่หนักเหมือนกัน แล้วก็ช่วยกันเข็นรถหลบเพื่อเคลียร์ถนนให้โล่ง 2 เลน แล้วรอประกันภัยมาเคลียร์ สรุปกลายเป็นประมาทร่วม ทีแรกตั้งใจไม่ไปหาหมอ เพราะสามารถเดินได้ปกติ ไม่รู้สึกเจ็บอะไร เพียงแค่รู้สึกขัดๆ แน่นๆ ในอกแค่นั้น แต่คู่กรณีก็ย้ำว่าเราควรไปตรวจเอกซเรย์ด้านใน เผื่อด้านนอกไม่เป็นอะไร แต่ด้านในอาจกระทบกระเทือนก็ได้ เราจึงไปตรวจที่โรงพยาบาลปิยะเวทใกล้ๆ ที่เกิดเหตุ”

พอเข้าไปเช็กร่างกายคุณหมอเอกซเรย์ปอด ตรวจวัดไข้ แล้วให้นอนรอดูอาการ 2 คืน เพราะเขารู้สึกเจ็บซี่โครง แล้วก็พบว่ามีกล้ามเนื้อตรงสีข้างฉีก

อุบัติเหตุสอนชีวิต เกริกไกร วิทยาสงเคราะห์

 

ลำไส้ใหญ่ไหลออกมาต้องผ่าตัดด่วน

หลังจากนอนรอดูอาการถึง 2 คืน ระหว่างนั้นก็กินยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการเจ็บซี่โครง พอรู้สึกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก เขาตัดสินใจขออนุญาตคุณหมอออกจากโรงพยาบาลวันรุ่งขึ้น แต่พอตื่นเช้ามาตอนตี 5 จากปกติเกริกไกรเป็นคนถ่ายยากมากๆ 3 วันถ่ายที เช้าวันนั้นได้เวลาถ่ายปกติ แต่พอถึงเวลาชำระล้าง เขารู้สึกว่ามีอะไรไหลออกมาทางก้นก็ไม่รู้ วินาทีแรกคิดว่าเป็นริดสีดวง ก็เลยเรียกคุณพยาบาลเพื่อตรวจเช็ก ก็พบว่าไม่น่าใช่ริดสีดวง จึงเรียกคุณหมอเวรมาตรวจดู ก็พบว่าเป็นลำไส้ใหญ่พองตัว บวมเหมือนลูกโป่งและไหลออกมา

“ตอนนั้นคุณหมอถามเราว่า เคยเป็นอาการแบบนี้ไหม เคยปวดท้องไหม ซึ่งปกติเราปวดท้องเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ไม่เคยไปหาหมอ กินยาแก้ปวดรักษาอาการไปเรื่อยๆ คุณหมอบอกว่าวิธีแก้อย่างเดียวคือต้องตัดทิ้ง เพราะไส้ไหลออกมาแล้วไหลกลับเข้าไปไม่ได้ คุณหมอจึงตัดสินใจผ่าตัดใหญ่ฉุกเฉินภายใน 6 ชั่วโมง เพราะหากช้ากว่านั้นไส้จะตายแล้วเน่าในที่สุด ต้องตัดทิ้งแค่เพียงช่วงที่อักเสบ แต่ปลายลำไส้ตัดทิ้งไม่ได้ จึงต้องรีบผ่าตัดเร่งด่วน แล้วก็ได้ผ่าตัดตอน 5 โมงเย็น”

อุบัติเหตุสอนชีวิต เกริกไกร วิทยาสงเคราะห์

 

ตัดลำไส้ใหญ่ทิ้ง…ชีวิตเปลี่ยน

ปกติลำไส้ใหญ่คนเรายาวราวๆ 9 ฟุต แต่ของเกริกไกรต้องตัดทิ้ง 2 ฟุต น้ำหนักรวมราว 8 กิโลกรัม เพราะมันอักเสบทั้งหมด 2 ฟุต คุณหมออธิบายว่า เมื่อเขาตัดลำไส้ใหญ่บางส่วนทิ้งไปแล้ว ชีวิตเขาจะเปลี่ยนไปในระยะแรก ต้องมีถุงหน้าท้อง เพื่อให้ของเสียระบายออกทางหน้าท้อง ผู้รับการผ่าตัดจะไม่สามารถขับถ่ายได้ปกติ

“การผ่าตัดนี้เหมือนการผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่ เราจะขับถ่ายผ่านทางทวารหนักไม่ได้ เพราะจะทำให้แผลติดเชื้อได้ ต้องทำบายพาสระบบย่อยอาหาร คุณหมอตัดตรง
หน้าท้องตำแหน่งลำไส้เล็กให้เอาลำไส้ใหญ่ยื่นออกมา เพื่อกินปุ๊บ ปกติคนกิน 6 ชั่วโมงถึงจะไปลำไส้ใหญ่ เก็บไว้มากพอจึงปล่อยออก แต่เมื่อทำการผ่าตัดเวลาเจ๋งกินอะไร ผ่านไปแค่ 2 ชั่วโมงมันจะขับถ่ายออกมาครั้งหนึ่ง ถ้าอาหารไปที่ลำไส้ใหญ่เท่ากับแบคทีเรีย ซึ่งมีโอกาสติดเชื้ออันตรายมาก และคนส่วนใหญ่ไม่ตายเพราะผ่าตัดลำไส้ แต่จะตายเพราะติดเชื้อในกระแสเลือด เราจึงต้องระมัดระวังตัวเองอย่างมากๆ”

หลังจากผ่าตัดเกริกไกรต้องนอนพักอยู่โรงพยาบาลอีก 7 วัน เขาก็พบการใช้ชีวิตที่ยากลำบากกับการต้องใช้ชีวิตอยู่กับถุงหน้าท้อง ต้องนอนตัวตรงอย่างเดียว พลิกร่างกายไปมาก็ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวถุงแตก ปัญหาที่สามคือ เวลากินไปสักพักก็จะปวดท้องมาก เพราะลำไส้ใหญ่อยู่ใกล้กับผิวหนังหน้าท้องซึ่งเต็มไปด้วยเส้นประสาททำให้เขารู้สึกว่าแผลบีบเวลาย่อยอาหารตลอดเวลา

อุบัติเหตุสอนชีวิต เกริกไกร วิทยาสงเคราะห์

 

เข้าสู่ภาวะเครียด

“ตอนกินเสร็จจะรู้สึกเจ็บบริเวณแผลที่ท้องหนักมากเหมือนท้องเราย่อย รู้สึกทรมาน เวลากินอาหารที่มีกากใยจะรู้สึกเจ็บบริเวณหน้าท้องมากๆ เราจึงต้องปรับตัว เพราะเจ๋งไม่สามารถเข้าห้องน้ำได้เหมือนคนอื่น คนปกติถ้าถ่ายจะอั้นได้ แต่ตรงหน้าท้องเราอั้นไม่ได้ จะออกเมื่อไหร่ก็ออกเลย ทำให้เราต้องเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนถุงบ่อยๆ ระยะแรกเปลี่ยนหนึ่งชั่วโมงสองครั้ง” จากภาวะดังกล่าวทำให้วิถีชีวิตเกริกไกรเปลี่ยน จากที่ชอบทำงานหนัก เป็นหนุ่มสังคม สังสรรค์เฮฮา เริ่มจิตตก เพราะต้องอยู่บ้านเฉยๆ ชีวิตเหี่ยวเฉา อยู่ในภาวะเครียดเพราะกลัวไม่หาย กังวลตลอดเวลา

“จากที่เจ๋งชอบทำงานหนัก 12 ชั่วโมง/วัน เราบ้างานมากๆ นอกจากทำงานเจ๋งใช้ชีวิตเที่ยวเล่นกับเพื่อนอย่างหนัก กินทั้งเหล้า สูบบุหรี่จัดมากๆ ไปผับทุกศุกร์และเสาร์ สนิทกับเจ้าของผับจนเหมือนญาติ เราไปเพื่อผ่อนคลายความเครียด เพื่อเข้าสังคม ส่งผลต่อร่างกายคือ ลำไส้อักเสบเรื้อรัง ปวดท้องมาเป็นเวลาหลายปีโดยไม่รู้ว่าร่างกายเราเป็นอะไร ยังคงใช้ชีวิตปกติ แต่หลังผ่าตัดหมอให้เปลี่ยนพฤติกรรมเดิมๆ เลิกดื่มเหล้า เลิกสูบบุหรี่ จากเดิมสูบวันละซองต้องเลิก เพราะบุหรี่ส่งผลทำให้เราไอบ่อย และไอตลอดเวลา โดยเฉพาะบุหรี่คุณหมอให้เลิกเพราะมีผลต่อระบบขับถ่าย เพราะบุหรี่มีสารพิษ ทำให้ปอดทำงานหนักมาก ตอนนี้ข้างในเราเหนื่อยมากและไม่ปกติจากการผ่าตัด พอปอดทำงานมากทำให้ระบบอย่างอื่นเรารวนไปด้วย ส่งผลไม่ดีต่อระบบต่างๆ หมอก็เลยให้หยุดซะ ซึ่งเราใช้วิถีชีวิตแบบนี้มาสองเดือน จากใช้ชีวิตแบบโชกโชนมา 15 ปี”

อุบัติเหตุสอนชีวิต เกริกไกร วิทยาสงเคราะห์

 

ความเปลี่ยนแปลงของสภาพร่างกายและจิตใจ

2 เดือนแห่งการพักฟื้นและได้อยู่กับตัวเอง ทำให้เกริกไกรค้นพบสัจธรรมแห่งชีวิต คือ เหตุการณ์ที่เกิดจะหนักรุนแรงแค่ไหน แต่เราต้องอยู่ให้ได้

“จากเดิมไม่เคยอ่านหนังสือธรรมะเลย แต่เพื่อนคอนโดห้องข้างๆ แนะนำให้อ่านหนังสือธรรมะ ตอนนี้ทุกครั้งที่เจ๋งรู้สึกเริ่มจิตตกเราจะหยิบหนังสือธรรมะมาอ่าน อ่านเพื่อซึมซับสัจธรรมจริงๆ และข้อหนึ่งที่เราได้เรียนรู้ คือ คนเราต้องอยู่ให้ได้ ถึงแม้จะเจอสถานการณ์อย่างไรก็ตาม และบางบทของธรรมะสอนเสมอว่า มันมีคนที่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายกว่าเรา เขายังอยู่ได้ ดังนั้นเราต้องอยู่ให้ได้ อีกทั้งธรรมะยังช่วยทำให้เราหลับง่ายขึ้น จากแต่ก่อนเราหลับยากต้องพึ่งยานอนหลับ”

อีกหนึ่งกำลังใจที่ทำให้เกริกไกรผ่านพ้นช่วงจิตตกแห่งชีวิตมาได้คือ เขาได้ซึมซับความรักของคนในครอบครัว โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ที่ความน้อยใจเมื่อวัยเด็กทำให้เขารู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่รักเขาน้อยกว่าลูกคนอื่นๆ

“พอป่วยเจ๋งได้คุยกับพ่อแม่มากขึ้น จากอาทิตย์คุยครั้ง หรือนานกว่านั้นด้วยซ้ำ แต่เดี๋ยวนี้พ่อโทรมาหาวันละ 3 ครั้ง การป่วยครั้งนี้ทำให้เราได้อยู่กับครอบครัวและพี่น้องมากขึ้น ทำให้เราเห็นคุณค่าและเห็นความสำคัญของคนใกล้ตัว จากที่เราเคยรู้สึกห่างเหินกับครอบครัว เพราะเราทำงานเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ มาตลอด ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวแน่นเฟ้นขึ้น ตอนที่ป่วยแม่บอกเราทุกครั้งว่าเขารักเรามาก อยากให้เราอยู่กับเขาตลอดไป ทำให้เรามีแรงฮึดต่อสู้กับความเจ็บปวด และรู้สึกทรมาน”

หลังจากพักฟื้นร่างกายและกลับมาทำงานได้เพียง 2 อาทิตย์ ก็ต้องกลับเข้าโรงพยาบาลใหม่ เพราะเกิดอาการแผลติดเชื้อต้องนอนให้ยาฆ่าเชื้อนาน 7 วัน จากนั้นพักฟื้นอีกเกือบเดือนและกลับไปทำงานใหม่อีกครั้ง แต่ก่อนที่จะกลับไปใช้ชีวิตได้ปกติ ต้องผ่านการผ่าตัดปิดหน้าท้องเอาไส้ทุกอย่างกลับไปอยู่ในท้องสภาพเดิม

หลังจากผ่าตัดเก็บลำไส้ใหญ่ไปไว้ตำแหน่งเดิมแล้วก็ต้องพบกับอาการลำไส้แปรปรวนอยู่พักใหญ่ๆ แต่ที่น่าตกใจก็คือวันที่ 5 นั่งคุยกับนางพยาบาลอยู่ดีๆ ก็เกิดอาการเล็บเขียว ตัวเขียว ไข้ขึ้นแล้วช็อกไป ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ยาฆ่าเชื้อ ณ ขณะที่เขานอนช็อกอยู่นั้น เขาเกิดอาการมือสั่นและรู้สึกชีวิตของเขาเข้าใกล้กับความตายเข้าไปทุกที ถึงกับเขียนฝากให้พี่ชายดูแลทรัพย์สมบัติที่เขามีว่าต้องแบ่งให้ใครดูแลบ้างผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ หลังจากนอนสังเกตอาการหนึ่งคืนทุกอย่างก็ดีขึ้น แต่ ณ เวลานั้นเขาไม่กล้าหลับตาลงเพราะกลัวว่าจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีก อยู่ในภาวะตึงเครียดมากๆ

“ขณะที่นอนรอดูอาการผลตรวจร่างกายออกมาว่าเราไม่ได้ติดเชื้ออะไรเลย แต่อาการต่างๆ เป็นผลมาจากร่างกายเราที่อ่อนแอ หลังจากพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 7 วัน ก็กลับมาพักฟื้นที่บ้านอีก 2 อาทิตย์โดยไม่มีถุงหน้าท้อง คืนแรกเขารู้สึกเหมือนได้นอนพักเต็มอิ่มโดยไม่มีอาการเจ็บปวดเลย เรียกว่านอนหลับสบายที่สุดในรอบ 36 ปีเลยก็ว่าได้”

บทเรียนสอนใจ

สิ่งที่เกริกไกรได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ครั้งนี้ โดยเขาไม่ได้มองว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเคราะห์ ในทางกลับกัน ถือเป็นความโชคดีเพราะอาการลำไส้อักเสบที่เขาเป็นอยู่เป็นระยะเวลานานแล้วละเลย จนลำไส้ไหลออกมาได้ถูกที่ถูกเวลาพอดี

“เจ๋งมักมีอาการปวดท้องอยู่เป็นประจำ คุณหมอบอกว่าเจ๋งเป็นคนโชคดีที่สุดในประเทศไทย เพราะถ้ารถชนแรงกว่านี้ ไส้ที่อักเสบก็จะแตกในท้อง นั่นคือตายสถานเดียว แต่ถ้ารถชนเบากว่านี้ แล้วไส้ไม่ไหลออกมา ไส้ที่อักเสบก็จะอยู่ในท้อง และกลายเป็นมะเร็งในที่สุด เราฟังแล้วก็รู้สึกตกใจและคิดว่าเราโชคดีนะ เจ๋งจึงอยากฝากบอกทุกคนว่า มนุษย์วัยทำงานอย่างเราๆ ควรจะหันมาดูแลตัวเองบ้าง ถ้าเราจะเริ่มต้นหยุดสิ่งที่ไม่ดี เช่น เหล้า บุหรี่ได้จะดีมากๆ แต่ถ้าทำไม่ได้ ให้เน้นการกินอาหารที่สะอาด และมีประโยชน์ ที่สำคัญ ต้องกินตรงเวลา เพราะกรณีเจ๋งลำไส้อักเสบเรื้อรังน่าจะเกิดจากการกินอาหารไม่ตรงเวลา ทำให้ลำไส้มีการย่อยที่ผิดปกติ แต่ก่อนต้องเสร็จงานก่อนจึงจะกินข้าวได้ และไม่เคยกินข้าวตรงเวลาเลย บางวันกินมื้อเดียวตอนบ่ายสาม บ่ายสี่ แล้วไปหนักกลางคืนทำให้เราอ้วน”

ตอนนี้เกริกไกรกลายเป็นคนที่หันกลับมาดูสุขภาพร่างกายตนเองมากขึ้น เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ เรียกว่าอุบัติเหตุทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยน ป่วยนิดป่วยหน่อยเขาต้องรีบหาหมอ หลีกเลี่ยงการซื้อยากินเอง ใช้ชีวิตแบบระมัดระวังมากขึ้น และที่สำคัญเขาละเอียดอ่อนต่อความรักของคุณพ่อคุณแม่มากขึ้น เพราะกำลังใจที่ดีที่สุดมาจากครอบครัวนั่นเอง

ข่าวล่าสุด

ศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต “เชษฐ์ปาดัง” เลขานายกปาดังเบซาร์