posttoday

คดีบัณฑิตใต้ / บัณฑิตเหนือ เมื่อความเป็นธรรม ไม่ใช่ความยุติธรรม

26 กรกฎาคม 2558

คดีนี้เกิดขึ้นในสมัยฮ่องเต้องค์แรกแห่งราชวงศ์หมิง ผู้ขับไล่กองทัพมองโกลออกจากจีน

โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์

คดีนี้เกิดขึ้นในสมัยฮ่องเต้องค์แรกแห่งราชวงศ์หมิง ผู้ขับไล่กองทัพมองโกลออกจากจีน

คือฮ่องเต้จูหยวนจาง ที่เคยเป็นทั้งเด็กเลี้ยงวัว พระสงฆ์ หรือแม้แต่ขอทาน นับเป็นฮ่องเต้องค์เดียวในประวัติศาสตร์จีนที่เคยเป็นขอทานมาก่อน

อะไรที่เกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดีเสมอ เพราะจูหยวนจางเคยเป็นปลายติ่งของรากหญ้าฝอย จึงเห็นใจประชาราษฎร์เป็นอย่างยิ่ง พระองค์ได้ชื่อว่าเมตตาต่อชาวไร่ ชาวนา และชาวบ้าน

แต่จูหยวนจางกลับเหี้ยมโหดเกินเหตุต่อข้าราชการขี้ฉ้อ “ข้าราชการคนไหนทุจริตประหารสถานเดียว” ฟังดูเหมือนน่าเลื่อมใส แต่สถิติออกจะโหดไม่น้อย เพราะแค่สองคดีทุจริตใหญ่ในรัชสมัยจูหยวนจางก็ฆ่าขุนนางและผู้เกี่ยวข้องไปกว่า 5 หมื่นคน เล่นเอารัฐสภา เอ๊ย ท้องพระโรงโล่งไปหลายเดือน

และคดีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งคดีทุจริตในสมัยพระองค์

เมื่อ ค.ศ. 1397 จูหยวนจางครองราชย์ได้ 30 ปี เมืองหลวงจัดการสอบขุนนางขึ้นอีกครั้ง ผู้คนในบ้านในเมืองล้วนให้ความสำคัญ ไม่ต่างจากที่ยุคปัจจุบันผู้คนสนใจรายการเฟ้นหาบรรดา Got Talent

จูหยวนจางให้ หลิวซานอู๋ ขุนนางอาวุโส มาดูแลการสอบครั้งนี้

จูหยวนจางเลือกหลิวซานอู๋ เพราะหลิวซานอู๋เป็นหนึ่งในเลขาให้จูหยวนจางมายาวนาน เป็นหนึ่งในขุนนางไม่กี่คนที่จูหยวนจางเชื่อใจ

ปีนั้นหลิวซานอู๋ อายุ 85 ถ้าเป็นยุคนี้ก็กินบำนาญจนคุ้มแล้ว แต่สำหรับยุคขุนนางเหลือน้อย เพราะฮ่องเต้สั่งตายเอาง่ายๆ อายุ 85 แค่ถือว่าอยู่ในจุดใกล้เกษียณ หลิวซานอู๋ตั้งใจให้การจัดสอบครั้งนี้เป็นทวนด้ามสุดท้าย เพื่อทิ้งชื่อไว้ในแผ่นดิน

หลิวซานอู๋แข็งขัน จนการสอบลุล่วงไปด้วยดี รายชื่อผู้ได้เป็นขุนนางทั้ง 51 คน ต่างเป็นที่สนใจของคนทั้งประเทศ

เมื่อรายชื่อประกาศ ก็เริ่มมีเสียงประท้วงดังขึ้นมา เพราะรายชื่อทั้ง 51 คน ไม่มีชาวเหนือซักคนเดียว มีแต่ชาวใต้เท่านั้น!

จีนยุคนั้นนิยมแบ่งแยกกันเป็นแดนเหนือแดนใต้ เพราะภูมิศาสตร์และการเมืองทำให้ทั้งสองดินแดนแตกต่าง แดนเหนือ สงครามเยอะ รบเก่ง วุ่นวาย แดนใต้ อุดมสมบูรณ์ รื่นรมย์ สาวงาม

ชาวใต้ ชาวเหนือ มักเขม่นกันอยู่เนืองๆ

รายชื่อทั้ง 51 คน มีแต่ชาวใต้ ไร้ชาวเหนือ จึงสร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มบัณฑิตเหนือเป็นอย่างยิ่ง

“ก็ดูเอาซิ ว่าคนคุมสอบมันมาจากไหน!”

“นี่มันดูถูกกันชัดๆ ว่าคนเหนือง่าว!”

“ทำไมไม่ตั้งเป็นประเทศใต้ไปเลยละ!”

“เข้าข้างบ้านเกิดกันชัดๆ!”

ยิ่งบิลต์ของยิ่งขึ้น ถึงขั้นรวมตัวเดินขบวนไปร้องกระทรวงศึกษาฯ หลิวซานอู๋ทุจริต! หลิวซานอู๋เข้าข้างคนใต้! หลิวซานอู๋ดูถูกคนเหนือ!

กระทรวงศึกษาฯ ร้อนใจ รีบยื่นคดีเข้า DSI ซึ่งในยุคนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ ก็ฮ่องเต้จูหยวนจางนั่นแหละ

นี่เป็นครั้งแรกของรัชกาลจูหยวนจาง ที่นักศึกษาออกมาประท้วง เรื่องนี้ไม่เล็ก

จูหยวนจางให้ขุนนาง 10 คนเข้าตรวจสอบ น่าแปลกที่จูหยวนจางยังสั่งให้บัณฑิตอันดับ 1-3 ในปีนั้นร่วมตรวจสอบด้วย จูหยวนจางคงเชื่อว่า คนที่ตนเองคัดเลือกกับมือในการสอบรอบสุดท้ายมีความสามารถจริง และที่สำคัญจูหยวนจางก็ยังเชื่อว่า หลิวซานอู๋ไม่น่าจะทุจริต

ผลการสอบสวนจากคณะกรรมการพิเศษออกมาดังคาด ไม่พบการทุจริต จูหยวนจางพอใจอย่างยิ่ง เท่านี้ก็น่าจะทำให้กลุ่มบัณฑิตเหนือหมดคำพูด

ที่ไหนได้ กลุ่มบัณฑิตเหนือไม่จบ “คณะกรรมการรวมหัวกับหลิวซานอู๋!” “แมลงวันย่อมไม่ตอมแมลงวัน!” การประท้วงยังดำเนินต่อไป

ความอยุติธรรมที่เกิดจากความรู้สึกแบ่งพรรคแบ่งพวกมักทำเรื่องให้ใหญ่โตกว่าความเป็นจริงเสมอ

ถึงจุดนี้ขุนนางชาวเหนือที่อยู่ในราชสำนักก็ร่วมโหนกระแสด้วย “คณะกรรมการตรวจสอบไม่มีคุณวุฒิพอ!” “คณะกรรมการรวมหัวทุจริต!”

ฮ่องเต้จูหยวนจางเห็นเรื่องบานปลาย โมโหยกใหญ่ ในฐานะผู้นำประเทศ แผ่นดินทางเหนือยังไม่สงบดี กลุ่มบัณฑิตเหนือไม่พอใจ อารมณ์ชาวบ้านทางเหนือย่อมหงุดหงิดไม่พอใจตาม เมื่อจำต้องรักษาอารมณ์กลุ่มบัณฑิตเหนือจูหยวนจางคิดวิธีหนึ่งขึ้นมา

จูหยวนจางบัญชาให้เลือกรายชื่อของบัณฑิตเหนือที่ผลสอบผ่านเกณฑ์ เสนอเข้ามาเป็นขุนนางเพิ่มอีกชุด ถือเป็นการแหกกฎ ให้มีบัณฑิตได้เป็นขุนนางสองชุดในปีเดียว บัณฑิตเหนือ บัณฑิตใต้

หลังดำเนินการ เสียงประท้วงสงบลง แต่จูหยวนจางยังระแวงต่อไป ครั้งหน้าเกิดใครไม่พอใจก็จับกลุ่มสร้างกระแสประท้วงแบบนี้ได้อีกสิ ถ้าคราวนี้ทำแค่เพื่อเอาใจทุกฝ่าย คราวหน้าคงเต็มไปด้วยการประท้วง จูหยวนจางจำเป็นต้องตอบคำถามให้ชัด จึงเริ่มคิดถึงสัตว์ชนิดหนึ่ง “แพะ”

ความซวยมาเยือนหลิวซานอู๋ จูหยวนจางรื้อคดี ตัดสินว่าหลิวซานอู๋มีความผิดจริง ฐานเข้าข้างคนบ้านเดียวกัน มีโทษถึงประหาร ดีที่หลิวซานอู๋ อายุ 85 แล้ว จึงลดโทษให้เหลือเนรเทศไปถิ่นทุรกันดาร ที่ซวยจริงคือคณะกรรมการตรวจสอบทั้งหลาย รับโทษประหารด้วยการเฉือนเนื้อหมื่นชิ้นไปเต็มๆ (รวมได้เนื้อทั้งสิ้นแสนชิ้นต้นๆ)

แพะก็มีแล้ว พิธีบูชายัญก็จัดแล้ว เรียบร้อยโรงเรียนจูหยวนจาง

ที่จริง ตั้งแต่จูหยวนจางขึ้นครองราชย์ การจัดสอบรับขุนนางทั้งหมด 5 ครั้ง อันดับต้นๆ ก็เป็นชาวใต้ทั้งนั้น จึงพอจะสรุปได้ว่าสภาพการศึกษาของเหนือใต้แตกต่างกันจริงๆ

การที่กลุ่มขุนนางสายเหนือร่วมออกผสมโรงโหนกระแส ก็อาจเป็นแค่อารมณ์ร่วมที่รู้สึกไม่ยุติธรรมอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะเมื่อตนอยู่ในจำพวกเดียวกับฝ่ายเสียเปรียบ

ที่บอกว่าหลิวซานอู๋เห็นแก่คนบ้านเดียวกัน เอาเข้าจริงบัณฑิตทั้งหมด แม้เป็นชาวใต้ทั้งหมดแต่ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ร่วมมณฑลเดียวกับหลิวซานอู๋

และหลิวซานอู๋ติดตามจูหยวนจางมาถึง 12 ปี จะไม่รู้เลยหรือว่า จูหยวนจางปราบทุจริตได้ซาดิสต์ขนาดไหน

แต่การครองใจผู้คนก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่จูหยวนจางต้องทำ บูชายัญจึงกลายเป็นเรื่องจำเป็น

ต่อมาภายหลัง การสอบขุนนางจึงแก้ปัญหาด้วยการแบ่งโควตาให้ตามมณฑล จึงค่อยแก้ปัญหาความรู้สึกไม่เป็นธรรมนี้ได้อย่างยั่งยืน ไม่ต้องบูชายัญ ไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจกันอีกต่อไป

มองเพียงมุมการวัดผลด้วยความยุติธรรม วัดกันที่ความสามารถ การแบ่งโควตาคือความอยุติธรรมอย่างหนึ่ง เพราะหลายอันดับจากถิ่นที่มีคุณภาพการศึกษาสูง จะต้องตกรอบเพราะโควตาจากแดนด้อยโอกาส

แต่หากมองมุมความเป็นธรรม คำนึงถึงปัจจัยก่อนเข้าแข่งขัน และการเพิ่มโอกาสให้แดนด้อยโอกาสได้มีที่ยืน มีสิทธิมีเสียง มีหนทางพัฒนาถิ่นกำเนิดของตนต่อไปในระยะยาว นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการมากกว่า ทำให้อยู่ร่วมกันได้ยั่งยืนกว่า

ที่จริงจากลักษณะนิสัยของจูหยวนจางซึ่งต้องมาประเดิมแก้ปัญหานี้ คงไม่ได้คิดถึงการให้โอกาสและความเป็นธรรมอะไรมากมายหรอกครับ แต่ความรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้คนที่เริ่มและพอจะมีอำนาจต่อรอง บีบให้จูหยวนจางต้องทำอะไรซักอย่าง ทำถูกก็เดินหน้าต่อ ทำผิดก็หกล้มลงตรงนี้

ในสนามแข่งที่ไม่เท่าเทียม การให้ความเป็นธรรมมากกว่าใช้ความยุติธรรมโต้งๆ เข้าตัดสิน จึงไม่ใช่เรื่องของคนโลกสวยอย่างเดียว แต่เป็นเพราะหากไม่ทำ สังคมก็ไม่ไปข้างหน้า ได้แต่คลุกคลานอยู่กับความไร้เสถียรภาพแค่ตรงนี้

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์-FWD คว้า 3 รางวัล Adman Awards 2025 ตอกย้ำเข้าถึงลูกค้าทุก Gen ด้วย "ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย"