posttoday

อินโดนีเซีย ขยายตลาด เพิ่มโอกาส นักลงทุนไทย

25 กรกฎาคม 2558

ด้วยทิศทางเศรษฐกิจโลก แหล่งเงินทุนแหล่งทรัพยากร แรงงาน และวัตถุดิบที่เปลี่ยนถ่ายโยกย้ายได้อย่างอิสระ

โดย...ทีมงานโลก 360 องศา [email protected]

ด้วยทิศทางเศรษฐกิจโลก แหล่งเงินทุนแหล่งทรัพยากร แรงงาน และวัตถุดิบที่เปลี่ยนถ่ายโยกย้ายได้อย่างอิสระมากขึ้นกว่าแต่ก่อนทำให้เพิ่มโอกาสการค้าการลงทุนในประเทศต่างๆที่มีปัจจัยเหมาะสมได้มากขึ้น ซึ่งนั่นส่งผลให้ประเทศไทยเอง ก็ไม่สามารถพึ่งพาการลงทุนภายในประเทศเป็นหลักอีกต่อไป ด้วยสถานการณ์ดังกล่าวทำให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI เล็งเห็นถึงนโยบายที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนไปสู่การสนับสนุนให้นักลงทุนไทยที่มีศักยภาพออกไปลงทุนในต่างประเทศบ้าง เพื่อเพิ่มโอกาสและขยายการลงทุน

แต่การลงทุนในทุกๆ ประเทศก็มีปัจจัยหรือข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นกรอบความร่วมมือทางการค้า ตัวบทกฎหมาย สิทธิพิเศษทางการค้า แหล่งวัตถุดิบและค่าแรงงานต่างๆ รวมถึงยังจะต้องแข่งขันกับนักลงทุนจากชาติอื่นๆ ทำให้ BOI ได้มีการจัดตั้งหน่วยงานที่มีชื่อว่า “กองส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ” ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่สำรวจ เก็บข้อมูล  วิเคราะห์โอกาสและความเป็นไปได้ ในการที่นักลงทุนไทยจะเข้าไปลงทุนในประเทศต่างๆ ทั้งนี้เพื่อเป็นศูนย์กลางในการให้ข้อมูลและคำปรึกษาแก่นักลงทุนไทยที่สนใจจะเข้าไปลงทุนในประเทศต่างๆ

อินโดนีเซีย ขยายตลาด เพิ่มโอกาส นักลงทุนไทย กรกฤช จุฬางกูร กรรมการผู้จัดการบริษัท ซัมมิท โอโต บอดี้ อินดัสตรี

 

โลก 360 องศา ได้รับการชักชวนจากสองหัวเรือใหญ่ของกองส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ คุณชลลดา อารีรัชชกุลผู้อำนวยการกองส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ และคุณอรรจน์สิทธิ สร้อยทอง นักวิชาการส่งเสริมการลงทุนชำนาญการพิเศษ ในการติดตามคณะลงพื้นที่เพื่อไปสำรวจตลาดในต่างประเทศ ซึ่งผู้อำนวยการชลลดาได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์การค้าการลงทุนในปัจจุบันว่า

ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้ธุรกิจหลายประเภทของนักลงทุนไทยไม่สามารถเติบโตต่อได้ในประเทศ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมองถึงการขยายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นๆ ที่มีปัจจัยเหมาะสมกว่า เช่น ในเรื่องของต้นทุนการผลิต วัตถุดิบ ค่าแรงงาน  จำนวนผู้บริโภคและสิทธิประโยชน์ที่นักลงทุนจะได้รับ ซึ่งเรื่องนี้ถ้าจะคอยต่อไปให้ถึงจุดวิกฤตแล้วค่อยหาทางขยับขยายไปที่อื่นๆ  อาจจะสายเกินไป จะต้องวางรากฐานเสียตั้งแต่วันนี้ หากถามว่าประเทศที่เหมาะสมแก่การขยายฐานการผลิตของนักลงทุนไทยในย่านนี้  ณ เวลานี้ดูเหมือนว่าอินโดนีเซียจะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเหมาะสมที่สุด

อินโดนีเซีย ขยายตลาด เพิ่มโอกาส นักลงทุนไทย จำนวนประชากรกว่า 250 ล้านคนของอินโดนีเซียมีถึง 55 ล้านคน ที่จัดว่าเป็นแรงงานมีฝีมือ

 

เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าอินโดนีเซียเป็นประเทศหมู่เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากรมากที่สุดในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน คือมากกว่า 250 ล้านคน  แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดในประเทศนี้  คือการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของกลุ่มชนชั้นกลาง ซึ่งจัดว่าเป็นกลุ่มชนที่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง

ในการติดตามคณะครั้งนี้ โลก 360 องศา ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ Mr. Indra Darmawan Director of International BusinessCooperation BKPM หรือหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการส่งเสริมการลงทุนของอินโดนีเซียบอกกับเราว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดที่นักลงทุนมองมาที่อินโดนีเซียก็คือประชากรมากกว่า
ครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมดเป็นชนชั้นกลางที่มีอายุระหว่าง 18-30 ปี

อินโดนีเซีย ขยายตลาด เพิ่มโอกาส นักลงทุนไทย ลงพื้นที่สำรวจตลาดและโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่เข้าไปลงทุนเกี่ยวกับผลิตผลทางการเกษตร

 

กลุ่มคนเหล่านี้มีอำนาจการซื้อที่ค่อนข้างสูง  ทำให้ที่ผ่านมาธุรกิจอย่างร้านกาแฟ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แกดเจ็ตและสินค้าแฟชั่นต่างๆเติบโตอย่างรวดเร็ว  ซึ่งนั่นเองเป็นสิ่งที่นักลงทุนมองว่าการเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตเพื่อตอบโจทย์ความต้องการภายในประเทศ จะเกิดความคุ้มค่าในระยะยาว จะเกิดขึ้นไม่เพียง 5-10 ปีเท่านั้น แต่อาจจะยาวนานถึง 20-30 ปีเลยทีเดียว

ดังนั้น อินโดนีเซียในวันนี้ จึงกระตือรือร้นอย่างยิ่งที่จะพัฒนาระบบสาธารณูปโภคต่างๆที่ยังขาดแคลนหรือยกระดับมาตรฐาน เช่น ถนน ท่าเรือ สนามบิน ระบบคมนาคม ระบบชลประทาน และระบบไฟฟ้า เพื่อให้สามารถสนับสนุนการลดต้นทุนระบบโลจิสติกส์
ให้ได้มากที่สุด และนักลงทุนไทยเองก็มีความสามารถและเป็นที่ต้องการของธุรกิจหลายๆ ประเภทในอินโดนีเซีย

อินโดนีเซีย ขยายตลาด เพิ่มโอกาส นักลงทุนไทย ยวดยานพาหนะที่หนาแน่นบนท้องถนนในจาการ์ตา ทำให้มองเห็นถึงโอกาสของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์

 

การลงพื้นที่สำรวจโอกาสธุรกิจไทยในอินโดนีเซียร่วมกับกองส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศครั้งนี้  โลก 360 องศา ได้มีโอกาสมาเยี่ยมเยือนผู้ประกอบการไทยที่เข้ามาปักธงชัยในแดนอิเหนาได้สำเร็จ ซึ่งจากข้อมูลพบว่า ในปัจจุบันสิงคโปร์คือนักลงทุนอันดับ 1 ในอินโดนีเซีย ส่วนไทยคือนักลงทุนอันดับที่ 14 มีมูลค่าการลงทุนกว่า 33.3 ล้านเหรียญสหรัฐจากทั้งหมด 13 โครงการ  นั่นแสดงให้เห็นว่าธุรกิจต่างๆ ของไทยก็มีโอกาสในการเข้ามาลงทุนในประเทศนี้

“ซัมมิท กรุ๊ป” เป็นอีกหนึ่งนักลงทุนจากประเทศไทย ที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในอินโดนีเซีย โดยจับมือร่วมกับ Adyawinsa หุ้นส่วนท้องถิ่น ก่อตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนสำหรับประกอบรถยนต์ให้กับบริษัทชั้นนำ ตั้งอยู่ในเขตนิคม Karawang ทางตะวันตกของกรุงจาการ์ตา ซึ่งในปัจจุบันรถยนต์จากค่ายญี่ปุ่นครองสัดส่วนตลาดในอินโดนีเซียถึง95% และรถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง มีอัตราการเติบโตมากที่สุดเพราะตอบสนองความต้องการของชาวอินโดนีเซียได้มากที่สุด ที่มักจะเดินทางไปไหนเป็นครอบครัว และต้องการรถยนต์ที่มีราคาไม่แพง ในอัตราที่ชนชั้นกลางซึ่งเป็นกลุ่มคนส่วนมากของประเทศจ่ายไหว

เราได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณกรกฤช จุฬางกูร กรรมการผู้จัดการบริษัท ซัมมิท โอโต บอดี้ อินดัสตรี หนึ่งในบริษัทของกลุ่ม ซัมมิท กรุ๊ป ซึ่งบอกกับเราว่าในช่วงที่ผ่านมาประเทศอินโดนีเซียมีการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์จากประเทศไทยไปเป็นอันดับหนึ่ง แต่ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา มีการย้ายฐานการลงทุนจากซัพพลายเออร์ญี่ปุ่นไปลงทุนที่อินโดนีเซียเป็นอย่างมาก

ดังนั้น การนำเข้าชิ้นส่วนจากภายนอกประเทศเองก็ลดลงไป  บริษัทจึงมองเห็นโอกาสและลู่ทางในการเข้าไปลงทุนตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในอินโดนีเซียเพื่อเป็นการขยายตลาด  พร้อมกันนั้นเองบริษัทก็มีความพร้อมในการที่จะขายเทคโนโลยีการผลิตที่สั่งสมมากว่า 50 ปีไปยังต่างประเทศ  ซึ่งมีการวิเคราะห์และประเมินตลาดอินโดนีเซียแล้วพบว่า การถือครองรถยนต์ในประเทศนี้ยังมีอัตราที่ต่ำมากๆ ถ้าเปรียบเทียบกับสภาพเศรษฐกิจที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้เป็นประเทศที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับการลงทุนทางด้านชิ้นส่วนยานยนต์

โดยก่อนที่จะเข้าไปลงทุนนั้น คุณกรกฤชได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการอบรมหลักสูตร “สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ” หรือ TOISC ที่จัดขึ้นโดย “กองส่งเสริมการลงทุนไทย
ในต่างประเทศ” ซึ่งได้รับความรู้ไม่ว่าจะเป็นด้านProductivity วัฒนธรรม สิทธิประโยชน์จากทางรัฐบาลและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกฎหมายการลงทุน ที่ทำให้สามารถวิเคราะห์และประเมินโอกาสและความเป็นไปได้ในการเข้าไปลงทุนในประเทศอินโดนีเซีย ประกอบกับข้อมูลที่ผู้อำนวยการชลลดาบอกกับเราว่า  ผลสำเร็จของโครงการ TOISC ที่ดำเนินการมาแล้วทั้งหมด 7 รุ่น และตอนนี้กำลังจะเปิดอบรมในรุ่นที่ 8และ 9 มีนักลงทุนที่ผ่านการอบรมนี้แล้ว 267คน และได้มีการสำรวจพบว่านักลงทุนในจำนวนทั้งหมดนี้ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15% มีการนำความรู้ที่ได้รับจากโครงการ ไปขยายฐานการผลิตในต่างประเทศได้จริง

เพราะการสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย จะพึ่งพาการลงทุนแต่ในประเทศเพียงอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ต้องมองหาตลาดใหม่ๆ แต่ทุกๆ ประเทศก็มีปัจจัยและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป กองส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ จึงเป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่พร้อมจะให้บริการฐานข้อมูล และการให้คำปรึกษาแก่นักลงทุนไทย เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจและความพร้อมให้กับนักลงทุนไทยที่มีความสนใจจะไปลงทุนในต่างประเทศ มากไปกว่านั้นยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศไทยและประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในกลุ่มสมาชิกอาเซียน ที่จะต้องช่วยกันผนึกกำลังท่ามกลางการผันแปรของเศรษฐกิจโลก