ท่องพาวิลเลียนไทย โดดเด่นกลาง Expo Milano
ภายใต้แนวคิด “อาหารหล่อเลี้ยงโลก พลังงานหล่อเลี้ยงชีวิต” (Feeding the Planet, Energy for Life) งาน Expo Milano 2015 จัดขึ้น ณ มิลาน ประเทศอิตาลี
โดย...พิเชษฐ์ ชูรักษ์
ภายใต้แนวคิด “อาหารหล่อเลี้ยงโลก พลังงานหล่อเลี้ยงชีวิต” (Feeding the Planet, Energy for Life) งาน Expo Milano 2015 จัดขึ้น ณ มิลาน ประเทศอิตาลี ระหว่างวันที่ 1 พ.ค.-31 ต.ค. ปีนี้ โดยมี 145 ประเทศเข้าร่วม ต่างนำเสนอความก้าวหน้าของนวัตกรรมด้านต่างๆ รวมประวัติศาสตร์ที่มาของอาหาร และมิติความยิ่งใหญ่อื่นๆ อันหลากหลาย หนึ่งในจำนวนนี้คือไทยที่เข้าร่วมแสดงศักยภาพความเป็นครัวของโลกอย่างโดดเด่น
ต่างชาติชื่นชมครัวของโลก
อาคารแสดงประเทศไทย (Thailand Pavilion) ในมหกรรมนิทรรศการอาหารระดับโลก Expo Milano 2015 ได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมงานชาวต่างชาติอย่างล้นหลาม จนถึงกลางเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา มียอดผู้เข้าชมแล้วร่วม 5 แสนคน
ความโดดเด่นที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตัวแทนรัฐบาลผู้รับผิดชอบหลักนำไปโชว์ในมหกรรมครั้งนี้นั่นคือ การฉายภาพ “ครัวของโลก” ให้นานาชาติได้เห็นถึงบทบาทการเป็นแหล่งผลิตอาหารที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และได้มาตรฐานจนทั่วโลกให้การยอมรับอย่างต่อเนื่อง
โอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร แม่งานซึ่งร่วมเดินทางไปด้วย อธิบายว่า เหตุผลหนึ่งที่ผู้เข้าชมให้ความสนใจพาวิลเลียนของไทยจำนวนมาก เพราะมีการนำอัตลักษณ์และภูมิปัญญาไทยที่เป็นเมืองเกษตรกรรมมาออกแบบอาคารเป็นรูป “งอบ”
นอกจากนี้ ยังนำ “นาค” สัญลักษณ์ของน้ำและตัวแทนความอุดมสมบูรณ์มาเป็นส่วนหนึ่งของอาคารแสดง ซึ่งหนังสือพิมพ์ในอิตาลีเลือกให้อาคารแสดงของไทยติด 1 ใน 5 ที่ผู้คนเข้าคิวชมอย่างคับคั่ง
“หลังจากเปิดงานอย่างเป็นทางการจนครบ 1 เดือน เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2558 มีผู้เข้าชมแล้วทั้งสิ้น 3.2 แสนคน ผ่านไปถึงวันที่ 15 มิ.ย. ยอดทะลุร่วม 5 แสนคน ตลอดการจัดงาน 6 เดือน น่าจะมีผู้เข้าชมอาคารแสดงของเราไม่น้อยกว่า 2 ล้านคน
"ความโดดเด่นอีกอย่างคือ เรานำอาหารไทยไปจำหน่ายภายในงานด้วย ได้แก่ ข้าวแกงมัสมั่น ข้าวแกงแดง ผัดไทย ไอศกรีมมะพร้าว และข้าวเหนียวมะม่วง ซึ่งในแต่ละวันขายหมดอย่างรวดเร็ว"
เหตุผลที่ไทยเลือกเปิดจำหน่ายสินค้าและทำอาหารโชว์กันแบบสดๆ แทนการเปิดร้านอาหาร เนื่องจากข้อจำกัดด้านพื้นที่ จึงเน้นสร้างโอกาสการรับรู้ถึงสินค้าไทยในหลากหลายรูปแบบ นั่นคือ Ready to eat, Ready to go, Ready to cook
อธิบดีโอฬาร บอกด้วยว่า ความแตกต่างจากพาวิลเลียนประเทศอื่นๆ ก็คือการจัดแสดงการละเล่นสะท้อนความเป็นไทยบริเวณด้านหน้าพาวิลเลียน ทั้งหมด 6 ชุด หมุนเวียนทุกวัน วันละ 4 รอบ ประกอบด้วย การแสดงวิถีน้ำของชาวไทย การแสดงหุ่นละครเล็ก การชกมวยคาดเชือก การละเล่นผีตาโขน การแสดงดนตรีประชันเปิงมางคอก และสุดท้ายเป็นการแสดงส้มตำ Percussion
ทุกการแสดงโดยเฉพาะการชกมวยคาดเชือกนั้นโชว์ศิลปะมวยไทยกันตุ้บตั้บจนสร้างความตื่นตะลึง รวมถึง ส้มตำ Percussion เป็นไฮไลต์ที่โน้มน้าวให้ชาวต่างชาติออกมาร่ายรำร่วมกับนักแสดงอย่างสนุกสนานอีกด้วย
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอกย้ำถึงความสำเร็จ เสียงสะท้อนจากสื่อชั้นนำอย่าง CNN ถึงกับยกให้ประเทศไทยเป็นพาวิลเลียนประเภทการออกแบบอาคารในงาน Expo 2015 ที่น่าประทับใจที่สุด โดยเฉพาะการนำงอบที่เป็นหมวกของชาวนามาเป็นสัญลักษณ์ รวมทั้ง การออกแบบพื้นที่จัดแสดงภายในอาคารที่สร้างบรรยากาศเสมือนเดินอยู่ในเทศกาลอาหารไทย ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองที่มีอาหารริมทางที่ดีที่สุดในโลก
เช่นเดียวกับ นิตยสารด้านการออกแบบชื่อดังในอิตาลีอย่าง GRAZIA CASA สะท้อนว่า อาคารแสดงของประเทศไทย คือหนึ่งในพาวิลเลียนที่สวยที่สุดในการจัดงาน
ภายใต้คอนเซ็ปต์ "การหล่อเลี้ยงโลกอย่างยั่งยืน” ประเทศไทยสามารถดึงศักยภาพการผลิตอาหารแต่ละด้านมาแสดงให้ทุกชาติได้เห็นอย่างน่าประทับใจ และยังตอกย้ำ “ไทยแลนด์แบรนด์” ที่ได้มาตรฐาน รวมทั้งมีความพร้อมในการดูแลประชากรโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี
มหกรรมนิทรรศการ Expo Milano 2015 จึงจะช่วยผลักดันให้สินค้าเกษตร และผลิตภัณฑ์อาหารไทยให้นานาชาติได้รับรู้สินค้าแบรนด์ไทยในวงกว้าง ซึ่งจะสร้างโอกาสช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในอนาคตอีกด้วย
นวัตกรรมหล่อเลี้ยงมนุษยชาติ
"เยอรมนี" จัดแสดงภายใต้แนวคิด Fields of Ideas นำเสนอเนื้อหาแบบ Interactive มีการแจกแผ่นพับแก่ผู้เข้าชมตั้งแต่ทางเข้าเพื่อนำไปใช้วางรับแสง ณ จุดจัดแสดงนิทรรศการ ซึ่งสามารถอธิบายเรื่องราวผ่านสื่อมัลติมีเดีย
อีกทั้งยังมีการจำลองซูเปอร์มาร์เก็ตในอนาคตที่สามารถเลือกซื้อสินค้าผ่านเทคโนโลยีทันสมัย โดยผู้ซื้อเพียงแค่จิ้มเลือกสินค้าผ่านหน้าจอ ซึ่งจะแสดงคุณค่าด้านโภชนาการให้เห็นก่อนจะไปรับสินค้าของจริง
แนวคิด Harmonious Diversity กำหนดให้แสดงวิถีชีวิตของ "ชาวญี่ปุ่น" ที่อยู่กับธรรมชาติอันหลากหลายสะท้อนผ่านวัฒนธรรมการกินอาหารของชาวแดนปลาดิบ ภายในห้องใช้โปรเจกเตอร์ฉาย Mapping ไปรอบๆ ราวกับทุ่งดอกไม้บานสะพรั่ง
ห้องที่ถูกกล่าวขวัญมากสุดของอาคารแสดงแดนอาทิตย์อุทัย คือ ห้อง Live Show ที่จำลองร้านอาหารทันสมัยให้ผู้เข้าชมสามารถสั่งอาหารผ่านจอทัชสกรีนโดยใช้ตะเกียบสั่งและคีบอาหารไปด้วย
"อิสราเอล" แสดงการก้าวสู่ความสำเร็จผ่านการวิจัยและการพัฒนาด้านการเกษตรระดับโลก ทั้งที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยทะเลทราย การแปลงสภาพผืนดินอันแห้งแล้งสู่ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ ถือเป็นจุดเด่นที่อิสราเอลนำเสนอความเป็นประเทศชั้นนำที่มีชื่อเสียงด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมในระยะเวลาเพียงเจ็ดสิบปี ผ่านแนวคิด Fields of Tomorrow เช่น การทำเกษตรแบบน้ำหยด
สถาปนิกชื่อดังอย่าง Foster and Partners เลือกเนินทรายที่ลาดโค้งเป็นแรงบันดาลใจออกแบบอาคารแสดงของ "สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์" (ยูเออี) ภายใต้แนวคิด Food for Thought-Shaping and Sharing the Future บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ผ่านภาพยนตร์ที่มีเด็กเป็นตัวละครเล่าเรื่องราวของบรรพบุรุษและครอบครัวสะท้อนการหวงแหนทรัพยากรและการสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ธรรมชาติ
มหาอำนาจโลกฝั่งตะวันออก "สาธารณรัฐประชาชนจีน" ได้ใช้พื้นที่จัดแสดงใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของงานภายใต้แนวคิด Land of Hope, Food for Life มีการจัดสวนดอกไม้สีเหลืองสดละลานตาตั้งแต่ทางเข้า ภายในอาคารมีการแสดงที่สื่อถึงวัฒนธรรมการปรุงอาหารตั้งแต่ยุคแรกของจีน ไล่เรียงมาจนถึงยุคปัจจุบัน
ประเทศเจ้าภาพอย่าง "อิตาลี" ยึดพื้นที่บริเวณตรงกลางทั้งหมดจัดนิทรรศการ เพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ด้านวัฒนธรรมอาหาร ไม่ว่าจะเป็นไวน์ ไอศกรีม นม ฯลฯ ภายใต้แนวคิด Nursery for New Energies, a nest for the future มีการนำเสนอผลงานของบุคคลที่มีชื่อเสียงในแต่ละด้านของอิตาลี
นอกจากนี้ นำเทคโนโลยีคาไลโดสโคปนำผู้เข้าชมสัมผัสความสวยงามของธรรมชาติและสถาปัตยกรรมของอิตาลี ผ่านกระจกที่สะท้อนทุกด้านให้เห็นมุมมองใหม่ๆ ที่แตกต่าง
เจ้าภาพยังได้ท้าทายผู้เข้าชมด้วยว่า หากไม่มีอิตาลีอยู่บนแผนที่โลกจะทำให้อะไรหายไปบ้าง โดยมีการนำเสนอแผนที่โลกที่ไม่มีประเทศรองเท้าบูธ พร้อมสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ ที่เข้าร่วม เพื่อตอกย้ำความเป็นอิตาลีในความทรงจำแต่ละคน


