เกมเกียรติยศ
สิ่งที่หนังนำเสนอได้น่าสนใจยังรวมถึงภาพเบื้องหลังแห่งความสำเร็จ ทั้ง เนลสัน แมนเดลา หรือ ฟรองซัวส์ พีนาร์ ล้วนแต่ต้องเจอศึกหนัก
สิ่งที่หนังนำเสนอได้น่าสนใจยังรวมถึงภาพเบื้องหลังแห่งความสำเร็จ ทั้ง เนลสัน แมนเดลา หรือ ฟรองซัวส์ พีนาร์ ล้วนแต่ต้องเจอศึกหนัก
เรื่อง วิชช์ญะ ยุติ
ก็เพราะแอฟริกาใต้กำลังอินเทรนด์ เลยต้องขอเกาะกระแสฮอตนี้เสียหน่อย
หยิบหนังที่มีแอฟริกาใต้เป็นฉากหลัง Invictus ซึ่งอาศัยเกมแข่งขันรักบี้เป็นบรรยากาศ แถมใช้บริการผู้นำผิวสีเป็นตัวเดินเรื่อง เรียกว่าครบเครื่องครบครันพะยี่ห้อความบันเทิงแบบเซาท์แอฟริกาโดยแท้
ตัวหนังเล่าเรื่องการขึ้นดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี “เนลสัน แมนเดลา” (มอร์แกน ฟรีแมน) นับจากวันที่เขาเพิ่งพ้นโทษ เพื่อเตรียมเข้าสะสางภารกิจอันท้าทายที่รออยู่ นั่นคือยุติการแบ่งแยกผิวสีบนดินแดนที่มีความขัดแย้งสูงลิ่วแห่งนี้ โดยดึงกีฬารักบี้มาเป็นผู้ช่วย
“ถ้าคุณต้องการสร้างสันติภาพกับศัตรู คุณต้องทำงานกับพวกเขา เขาก็จะกลายเป็นเพื่อนร่วมงานของคุณ” เป็นถ้อยคำที่ผู้นำผิวสีคนแรกของแอฟริกาใต้เคยกล่าวไว้
บางช่วงบางตอนในหนังก็ได้สะท้อนคำพูดของเขาให้ดูหนักแน่นและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น ชวนขนลุกโดยอัตโนมัติเมื่อมันค่อนข้างรู้สึกถึงพลังที่ซ่อนอยู่
“ชาติเท่าเทียมเริ่มที่นี่ การผูกมิตรเริ่มที่นี่ และผมอยากให้การอภัยเริ่มที่นี่ด้วย การให้อภัยจะปลดปล่อยวิญญาณเรา” เนลสัน เอ่ยปากกับบอดีการ์ดคนสนิท ซึ่งแสดงอาการกระฟัดกระเฟียด หลังรู้ว่าทีมบอดีการ์ดชุดใหม่ที่เป็นคนผิวขาวจะเข้ามาร่วมงาน
“จงอย่ากลัวว่าภาษา สีผิว หรือแม้แต่อดีตที่ผ่านมาจะเป็นอุปสรรค อดีตก็คืออดีต” เขาบอกต่อหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบรัฐบาลในวันแรกของการทำงาน “เราต้องมองไปที่อนาคต”
บทสนทนาที่คมคายกลายเป็นจุดเด่นของหนัง ทั้งยังตอกย้ำว่าตัวละครประธานาธิบดีคือเฟืองจักรที่ช่วยขับเคลื่อนพาคนดูไปสู่สารสำคัญ อันมีรักบี้ทำหน้าที่เชื่อมโยงเหตุการณ์และบริบทรายล้อม โดยใช้แนวคิด “การปรองดอง” ซึ่งเป็นแกนหลักที่ เนลสัน แมนเดลา กำลังจะสร้างมันขึ้นในบ้านเกิด
พร้อมกับการปลุกปั้น “สปริงบอร์ก” ทีมรักบี้แอฟริกาใต้ที่มี “ฟรองซัวส์ พีนาร์” (แมตต์ เดมอน) เป็นกัปตันทีม ให้คว้าตำแหน่งแชมป์โลก ภายใต้นโยบายหลอมรวมกีฬา ผู้คน และชุมชนให้เป็นหนึ่งเดียว ที่สำคัญทุกคนต้องเป็นสีเดียวกันหมด เขียว-ทอง เช่น ธงชาติที่ปลิวไสวในสนามแข่งขัน
Invictus เป็นผลงานของผู้กำกับรุ่นปู่ “คลินต์ อีสต์วูด” ที่ดูเรียบๆ เรื่อยๆ มียั่วเย้าในบางอารมณ์ แต่ก็ไม่เฝือเกินเหตุจนบีบรัดหัวใจให้แฟนๆ อินจัดขนาดต้องหลั่งน้ำตาฟูมฟาย
ท่าทีของ Invictus อาจไม่ใช่สปอร์ตฟิล์มที่ (ชอบ) ล้อเล่นกับอารมณ์คนดูสไตล์เมโลดรามา ซึ่งมักจะปูพรมด้วยการเล่าชีวประวัติตัวละคร จากนั้นค่อยๆ ปะทุให้ถึงจุดพีกด้วยฉากชัยชนะที่ใครๆ ก็พอเดาออก
และการที่มุ่งนำเสนอภาพบวกของผู้นำกับแผนสร้างความเป็นปึกแผ่นของชาติ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่มันจะถูกมองว่าเป็นหนังที่เจือด้วยกลิ่นอายโฆษณาชวนเชื่ออยู่กลายๆ
อย่างนั้นก็เถอะ แต่หน้าที่ในภาคบันเทิง หนังกลับไม่ละเลยที่จะเร้าความสนุกด้วยบรรยากาศการเชียร์รักบี้ (ซึ่งมีมากกว่าเกมแข่งขัน) ของชาวแอฟริกาใต้ที่ไม่ได้แบ่งแยกสีผิว เด็กเล็ก คนแก่ ผู้ชาย ผู้หญิง ตำรวจ ยาม คนขับแท็กซี่ แม่บ้าน คนเร่ร่อน ไปจนถึงประธานาธิบดีก็เฝ้าลุ้นด้วยใจระทึก
สิ่งที่หนังนำเสนอได้น่าสนใจยังรวมถึงภาพเบื้องหลังแห่งความสำเร็จ ทั้ง เนลสัน แมนเดลา หรือ ฟรองซัวส์ พีนาร์ ล้วนแต่ต้องเจอศึกหนัก ไม่ง่ายนักกว่าที่พวกเขาจะได้สัมผัสกับคำว่าชัยชนะใสบริสุทธิ์
เนลสัน ต้องทนทุกข์ในคุกหลายปี เมื่อมารับบทผู้นำก็ต้องพาประเทศก้าวไปอย่างสง่างามท่ามกลางปัญหาต่างๆ ขณะที่ ฟรองซัวส์ ต้องพบกับแรงกดดันสารพัดในฐานะทีมขี้แพ้ที่ไม่เคยลิ้มรสชาติเสียงชื่นชมและรางวัลอันสูงสุด ภาพการต่อสู้ของทั้งคู่จึงเป็นเส้นขนานที่วิ่งไปพร้อมๆ กัน แม้จะต่างยุค ต่างวัย ต่างบทบาท แต่ก็ทำให้คนดูเข้าถึง 2 ชีวิตได้ชัดเจน ตราบที่หัวใจยังไม่สิ้นแรงศรัทธา
เช่นคำพูดตอนหนึ่งของเนลสันที่บอกว่า “ท่ามกลางคืนที่มืดมิด ฉันสรรเสริญพระเจ้าทุกครั้ง เพราะวิญญาณฉันไม่ยอมแพ้ ต่อให้ตกอยู่ในภาวะแบบใด ฉันจะไม่คร่ำครวญหรือร่ำไห้ ภายใต้โชคชะตาที่ลงทัณฑ์ฉันจนเลือดอาบ แต่ฉันก็จะไม่ยอมก้มหัวให้กับความโกรธและน้ำตาที่มีแต่เงาดำแห่งความกลัวเป็นแน่ นั่นเพราะฉันคือคนกุมชะตาตัวเอง และฉันก็เป็นกัปตันวิญญาณของฉัน”
นับเป็นเกมการแข่งขันที่เดิมพันกันด้วยเกียรติ จากสนามรักบี้สู่เก้าอี้ประธานาธิบดี
Invictus
ปี 2010
ประเทศ สหรัฐอเมริกา
ประเภท ชีวิต/กีฬา
ความยาว 134 นาที
ภาษา อังกฤษ
กำกับ คลินต์ อีสต์วูด
แสดงนำ มอร์แกน ฟรีแมน/แมตต์ เดมอน


