posttoday

บอย สมเกียรติ & สุกี้

13 มิถุนายน 2558

หลังจากทั้งสามตัดสินใจไม่ทำเบเกอรี่ มิวสิกต่อมันก็นานทีเดียวที่เราๆ ไม่ได้ยินบทเพลงที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว

โดย...พงศ์ พริบไหว ภาพ... ภัทรชัย ปรีชาพานิช

หลังจากทั้งสามตัดสินใจไม่ทำเบเกอรี่ มิวสิกต่อมันก็นานทีเดียวที่เราๆ ไม่ได้ยินบทเพลงที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวสไตล์โฮมเมดอีกเลยนับจากนั้น เสน่ห์ในแง่งามที่อบอุ่นและเข้าถึงหัวใจ ทำนองว่าโรแมนติกชะมัดทุกครั้งที่ได้ฟัง ซึ่งแน่นอน บอย-ชีวิน โกสิยพงษ์, สุกี้-กมล สุโกศล แคลปป์ และสมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ ทำหลายสิ่งไว้ดีเหลือจนยากที่ใครจะแตะถึง ปีแล้วปีเล่าทุกคนต่างเดินหาเส้นทางของตัวเอง กระทั่งวันนี้พวกเขากลับมาทำงานด้วยกันอีกครั้ง

สำหรับ สุกี้‘เพื่อนเหมือนครอบครัวที่อบอุ่น’

“พวกเราไม่ค่อยมีแพลนอะไรนะ คือพออยากมาทำอะไรกันก็ทำ” สุกี้เปิดบทสนทนามาเช่นนั้นพร้อมรอยยิ้มมุมปากเมื่อพูดถึงโปรเจกต์ล่าสุดที่ทำให้สามเสือแห่งเบเกอรี่ มิวสิกกลับมาทำงานด้วยกันใน “BDAY DANCE PARTY” สุดยอดปาร์ตี้คอนเสิร์ตแห่งปีที่จะมีขึ้นในวันที่ 19 มิ.ย. ณ รอยัล พารากอนฮอลล์ ซึ่งเมื่อถามถึงความรู้สึกที่ได้กลับมาร่วมงานกันอีกหน สุกี้ในฐานะพี่ใหญ่เล่าให้ฟังว่า

“คือจุดเริ่มต้นของงานนี้มันเริ่มมาจากลูกชายอายุ 20 ของผมที่ชอบฟังเพลงอีดีเอ็ม พอได้ยินทุกวันผมก็คันมืออยากทำเพลงอีกหนจนมันเป็นอัลบั้ม MONKEY DISCO BOY จากนั้นงานชุดนี้ก็ทำให้ผมชักชวนบอยและสมเกียรติเข้ามาช่วยกันทำคอนเสิร์ต ถ้าถามว่ารู้สึกแตกต่างไหมที่กลับมาทำงานด้วยกันหลังจากที่ห่างกันมาเป็น 10 ปี มันไม่ได้รู้สึกแตกต่างอะไรนะ บรรยากาศเหมือนเดิมคือเรายังทำงานกันเหมือนเพื่อน แค่เราทั้งสามคนอายุมากขึ้น” หลังจบประโยคในวงสนทนาเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

“พอกลับมาทำงานด้วยกัน ผมว่าสิ่งที่ผมให้คุณค่ากับทั้งสองคนที่สุดคือ สิ่งที่ทั้งสองทำ เพราะไม่ว่าจะเป็นดนตรี ศิลปะ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่โคตรจะนามธรรม จับต้องยาก แต่สองคนนี้เขาเก่งมากเลยว่าจะเข้าไปสะกิดและสะกดอารมณ์ของคนฟังยังไงซึ่งเป็นสิ่งที่เรียนไม่ได้เป็นสิ่งที่ออกมาจากข้างใน  นี่คือสิ่งที่ผมให้ค่าของทั้งคู่ มันคือความไว้ใจ”

“คือถ้าไม่มีทั้งคู่งานหลายๆ อย่างที่เราทำมาไม่สำเร็จนะ พวกเขาสำคัญมาก เข้าใจผมทุกเรื่อง ซึ่งความเข้าใจนี้เรามีกันมาตลอด คือคนอาจไม่รู้ว่ามันมีช่วงที่เราสามคนแย่กันมาก ช่วงที่ชีวิตผมเรียกว่าทุเรศเลยนะ เราสามคนเอาเครดิตการ์ดดึงออกมาช่วยกันจ่ายหนี้หมุนเงินกัน คือไม่มีเงินกันเลย แต่เราก็ช่วยกันจนผ่านมาได้” สุกี้ครุ่นคิดหลังประโยคนั้น ก่อนจะพูดอะไรออกมาอีกหน

“ด้วยเหตุการณ์หลายๆ อย่างมันทำให้เราเป็นมากกว่าคำว่าเพื่อนไปแล้ว อย่างผมเกิดมา เติบโตก็อยู่กับบทเพลง ชีวิตผมไม่เคยห่างจากเรื่องเพลงเลยแล้วตั้งแต่ที่เราแยกย้ายกันไปใช้ชีวิต ไปเรียนรู้โลกไปเจอสังคมใหม่ๆ แต่เรารู้ว่าเรามีบ้านหลังหนึ่งอยู่ตรงนี้บ้านที่พวกเราสร้างกันมา บ้านที่เป็นตัวตนของพวกเราเข้ามาแล้วเข้าใจกันเสมอ” เป็นการเปรียบเปรยที่ค่อนข้างจะกินความหมายไกลไปถึงการเป็นเพื่อน แต่หากเอาให้ง่าย สุกี้กำลังหมายความว่า ...บอย และสมเกียรติ สองคนนี้คือคำว่าครอบครัว

สำหรับ บอย & สมเกียรติ‘เพื่อนคือ ความอบอุ่นในหัวใจ’

ถึงจะไม่ได้ทำงานด้วยกันมาหลายปี สุกี้หนีห่างออกไปตามหาความหมายของชีวิตด้วยการขับมอเตอร์ไซค์ไปทุกที่ที่สามารถไปถึง ส่วนบอย โกสิยพงษ์ ก็ยังคงทำค่ายเพลงอย่างเลิฟอีส (LOVEiS) ส่วนสมเกียรติลุยทำงานเบื้องหลังเป็นหลักแต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ดูไม่เปลี่ยนแปลง ยังเคารพในกันและกัน สมเกียรติที่วันนี้มาในมาดของชายผมสีแดงเริ่มพูดถึงเพื่อนให้ฟังว่า

“เราสามคนส่วนใหญ่ จริงๆ ก็ได้เจอกันตลอด มันเลยไม่ค่อยจะตื่นเต้นอะไรมาก แต่ว่าเราก็ไม่ได้ร่วมงานกันเหมือนเมื่อก่อนแล้วไง พอได้กลับมาทำงานด้วยกัน สิ่งๆ หนึ่งที่ทำให้เราสามคนตื่นเต้นกันน่าจะเป็น เราไม่คิดว่าวันหนึ่งเราสามคนจะได้มาพูดเรื่องเพลงด้วยกันอีกหนในโปรเจกต์ของพวกเรา คือมันเหมือนเราได้กลับมาเจอฟิลที่เราคิดถึง แล้วพอมาทำงานด้วยกันเราก็ยังเหมือนเดิมไม่มีใครเปลี่ยน อย่างสุกี้เขาเป็นคนชอบทำอะไรใหม่ๆ อยู่แล้วเขารู้เลยว่าเราต้องการอะไร ส่วนบอยเขาก็กลายเป็นคนที่ทำอะไรสนุกๆเสมออยู่แล้ว

จริงๆ สำหรับตัวผมมันก็เหมือนว่ารอวันนี้มาถึงเหมือนกันนะ เพื่อที่จะได้มาเจอกัน แล้วทำอะไรด้วยกันอีก พอรู้ว่าจะมีโปรเจกต์นี้เราก็ดีใจมากนะ พอมีเราก็ตื่นเต้นมีความสุขกับสิ่งที่เรากำลังทำเรารู้เลยว่างานที่พวกเราสามคนกลับมาทำด้วยกันมันจะออกมาจะดีกับดี ถ้าแย่สุดก็คงเสมอตัว (หัวเราะ) เพราะเราเชื่อมั่นมาตลอดทั้งชีวิตที่เราเคยทำในเรื่องของดนตรี” สมเกียรติยิ้มเมื่อพูดจบ

ส่วนบอย โกสิยพงษ์ พูดถึงเพื่อนไว้ว่า “ถ้าเกิดเราเลือกจะเป็นเพื่อนเขาเราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น” ดูเหมือนจะกินความหมายไปไกลและทำให้คำว่าเพื่อนดูมีค่าเหลือเกิน ซึ่งบอยมักเป็นคนพูดน้อยในกลุ่มเพื่อน ฉะนั้นคำที่ออกจากปากจึงดูประหยัดคำแต่ทว่าก็เป็นสิ่งที่จริงใจ

“ความรู้สึกในชีวิตเราพี่สุกี้เหมือนเป็นหัวหน้าเราไปแล้วเรียกเรามา เราก็มา มันมีความรู้สึกแบบนั้นไปแล้ว อย่างพี่สมเกียรติก็อย่างที่บอกเขาเป็นอาจารย์เรา อันไหนที่เราทำแล้วเขาชอบเราก็ดีใจ สิ่งที่เราทำแล้วเขาไม่ชอบเราก็จะกลับไปแก้ไข ในความรู้สึกมันเป็นแบบนั้นพอได้กลับมาทำงานด้วยกันมันก็รู้สึกดี รู้สึกมีความสุข” บอยพูดถึงเพื่อนทั้งสองต่อว่า

“เมื่อก่อนเราอยู่ด้วยกันตลอด 24 ชั่วโมง เป็นสิบปีมั้งแต่พอตอนเริ่มเป็นผู้ใหญ่ ผมว่าเราก็ต่างหาไลฟ์สไตล์ของวเอง อายุมากขึ้นทุกคนก็ต้องมีชีวิตของเขามากขึ้น อย่างตอนที่เราตัดสินใจกันว่าเราไม่ทำค่ายต่อล่ะ เหมือนเราล้มเหลวนะในเวลานั้น แต่มันแปลกนะตอนนั้นเราอยู่ในวงการมันไม่เห็นแต่พอตอนออกมาจากวงการ ผมคิดว่าสิ่งที่พวกเราสามคนทำลงไปมันไม่ง่ายเลยนะ มันมหัศจรรย์มากที่คนหนุ่มอายุ 20 ต้นๆมาร่วมกันทำอะไรแบบนี้ แล้วมันประสบความสำเร็จมากมาย เมื่อเราคิดย้อนกลับไปมันกลับเป็นเรื่องที่ดีนะ เพราะมันจะเป็นความทรงจำที่ดีให้กับพวกเราทุกคนในเบเกอรี่ฯ”

จากบทสนทนามีหลายสิ่งถูกเล่าผ่านทำให้เห็นเนื้อแท้ว่าการทำงานครั้งใหม่ของพวกเขาคงสนุกสนานไม่แพ้ใคร ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ทั้งสามตั้งใจกลับมาตอบแทนแฟนเพลงที่เคยให้โอกาสเบเกอรี่ มิวสิกเข้าไปอยู่ในช่วงความทรงจำที่ดี

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด บีจี ปทุม พบ เมืองทอง ฟุตบอลไทยลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68