ตลาดการศึกษาพม่า โอกาสนักลงทุนไทย
ณ กรุงย่างกุ้ง อดีตเมืองหลวงของประเทศพม่า สิ่งที่เราคาดคิดกับสิ่งที่เราพบนั้นกลับกลายเป็นคนละเรื่องเดียวกัน
ณ กรุงย่างกุ้ง อดีตเมืองหลวงของประเทศพม่า สิ่งที่เราคาดคิดกับสิ่งที่เราพบนั้นกลับกลายเป็นคนละเรื่องเดียวกัน เราไม่เคยคิดมาก่อนว่าที่กรุงย่างกุ้ง รถจะติดมากมายมหาศาลจนแทบจะไม่แตกต่างจากกรุงเทพฯ เราไม่คาดคิดมาก่อนว่า ที่นี่จะมีศูนย์การค้าผุดขึ้นภายในเวลาอันรวดเร็ว และยังมีชาวพม่านิยมเดินซื้อของในศูนย์การค้าเหล่านี้เป็นจำนวนมาก
แม้ภาพที่เห็นในย่างกุ้ง เป็นเพียงภาพส่วนน้อยที่สุดของพม่าเมื่อเทียบกับความเป็นอยู่ของผู้คนส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 70 ที่จัดอยู่ในขั้นยากจนซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ แต่ก็ทำให้เรารู้สึกว่าชาวพม่ามีความกระตือรือร้นที่จะพัฒนาตัวเองให้ก้าวทันโลกหลังจากปิดประเทศเป็นเวลากว่า 50 ปี และสิ่งแรกที่พวกเขาขวนขวายไม่ใช่เทคโนโลยีหรือความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ แต่เป็นระบบการศึกษาที่จะช่วยพัฒนาประเทศต่อไปอย่างมั่นคง
พม่า ณ เวลาปัจจุบัน
บูรณ์ อินธิรัตน์ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายการพาณิชย์) สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ประจำกรุงย่างกุ้ง บอกภาพรวมของพม่าในเวลานี้ว่า “พม่าเป็นประเทศที่อยู่ในสภาวะขาดแคลนบุคลากรแทบทุกด้าน โดยเฉพาะตลาดฝีมือแรงงานที่พวกเขาต้องการพัฒนาอย่างเร่งด่วน หลายคนอาจจะคิดว่าทำไมพม่าขาดแคลนฝีมือแรงงาน ทั้งที่ในเมืองไทยพวกเขาแทบจะเข้ามาทำงานในตลาดแรงงานแทบทุกสายอาชีพ นั่นก็เพราะว่าแรงงานกว่าล้านคนที่มีทั้งขึ้นทะเบียนและแฝงตัวอยู่ในประเทศไทย ไม่ยอมเดินทางกลับประเทศเพราะค่าแรงในประเทศของเขาเองต่ำกว่าที่ได้รับจากไทยอยู่มาก
ดังนั้น พม่าจึงต้องเร่งพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับตลาดแรงงานใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นภายในประเทศของเขา ที่ผ่านมาชาวพม่ามีโอกาสได้เรียนหนังสือน้อย เนื่องจากส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ซึ่งคนกลุ่มนี้อาจจะมีถึงร้อยละ 70 ของประชากรทั้งหมด
ในขณะที่ชนชั้นสูงของพม่าส่วนมากนิยมส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ ซึ่งประเทศที่พวกเขานิยมส่งบุตรหลานไปเรียนหนังสือ แน่นอนว่าอันดับหนึ่งก็คือประเทศไทย เพราะสามารถติดต่อเดินทางได้สะดวกกว่า รองลงมาก็จะเป็นอังกฤษ จีน และฮ่องกง ที่นิยมส่งบุตรหลานไปเรียน
จึงอยากแนะนำว่าตลาดด้านการศึกษาของพม่าเปิดกว้างที่จะให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในรูปแบบต่างๆ เพียงแต่นักลงทุนควรศึกษาอุปสรรคต่างๆ ในพม่าให้ดี โดยเฉพาะเรื่องค่าเช่าที่ดินซึ่งค่อนข้างแพงเป็นอันดับหนึ่งของโลก”
พม่ากับการเรียนเพื่อก้าวทันโลก
ตลาดการศึกษาซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการ ก็ทำให้หลายมหาวิทยาลัยของประเทศไทยเข้ามาเปิดหลักสูตรการเรียนการสอน อย่างมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เอแบค และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่เข้ามาเปิดหลักสูตรบริหารธุรกิจ หรือเอ็มบีเอ ในขณะที่ต่างประเทศก็มีประเทศจีนที่เข้ามาเปิดสอนแต่มีนักเรียนสมัครจำนวนไม่มาก และสุดท้ายก็ต้องปิดตัวลงไป ในขณะที่มหาวิทยาลัยอื่นๆ ในประเทศพม่าก็ได้จับมือกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศนำหลักสูตรเข้ามาสอน แต่ก็มีข้อจำกัดหลายอย่างที่ทำให้หลักสูตรเหล่านี้ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
วิชัย แก่นระหงษ์ ที่ปรึกษาฝ่ายการพาณิชย์ สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ประจำกรุงย่างกุ้ง เสริมเรื่องการศึกษาของประเทศพม่า ว่า มหาวิทยาลัยของที่นี่จะไม่ได้มีกฎหมายกำกับดูแลที่ชัดเจน และการเรียนการสอนจะขึ้นอยู่กับสังกัดของทหารของแต่ละหน่วยที่เกี่ยวข้องกับสายนั้นๆ เพื่อทหารจะเข้ามาควบคุมอย่างเต็มที่
อีกทั้งระบบการเรียนของพม่าจะเรียนกันแค่ครึ่งวัน แบ่งเป็นรอบเช้ารอบบ่าย กำหนดให้เรียนขั้นต่ำคือชั้น ม.6 แต่โดยมากแล้วเดี๋ยวนี้ชนชั้นสูงของพม่าจะส่งลูกเรียนที่โรงเรียนต่างประเทศจนจบปริญญาตรีกันหมด
ส่วนเด็กที่จบเกรด 12 (ม.6) ก็จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอย่างมหาวิทยาลัยย่างกุ้ง ซึ่งการแข่งขันที่นี่จะสูงมากและมีการสอบวัดความรู้เหมือนกับระบบเอนทรานซ์เหมือนบ้านเราสมัยก่อนที่วัดกันที่การสอบแต่ละวิชาเพียงครั้งเดียว คณะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือแพทย์ ที่นี่ใครเรียนหมอ ครอบครัวจะได้รับเกียรติและการยกย่อง วิชาที่ได้รับการยอมรับลงมาก็คือ บริหาร และวิศวะ แต่ส่วนใหญ่คนที่เรียนจบหมอมักจะไปเป็นนักธุรกิจแม้จะมีดีกรีเป็นดอกเตอร์ เพราะรายได้จากการเป็นคุณหมอไม่เพียงพอต่อการจุนเจือครอบครัว
“อย่างที่เราสังเกตได้ก็คือที่ประเทศพม่าจะไม่มีโรงเรียนอาชีวะเลย ทำให้ไม่มีแรงงานในสายวิชาชีพ อย่างแรงงานพม่าจะให้เขาทำงานอย่างที่เราต้องการสักอย่างหนึ่งต้องเทรนเขาถึง 3 เดือน เพื่อให้ทำงานได้อย่างที่เราต้องการ แต่คุณภาพชิ้นงานจะไม่เท่ากับแรงงานไทย ดังนั้นผมมองว่าพม่าต้องการแรงงานฝีมือมากที่สุด ถ้าไทยเราจะมาเปิดโรงเรียนอาชีวะ จบออกไปแล้วเป็นช่างซ่อมรถ ช่างตัดผมเลยจะเป็นที่ต้องการของพม่าอย่างมาก”
ฟิลิป แทน อดีตนักศึกษาระดับปริญญาโท หลักสูตรบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย วิทยาเขตย่างกุ้ง บอกกับเราว่า “สิ่งที่ผมได้จากการเรียนที่สำคัญที่สุดก็คือการเรียนรู้ที่จะเป็นผู้นำที่ดี เรียนรู้ว่าควรจะบริหารคนอย่างไรซึ่งเป็นกลไกสำคัญของธุรกิจของผมเอง ที่ผ่านมาแม้จะประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ แต่ก็มีปัญหาบางอย่างที่ผมไม่รู้วิธีแก้ไขแต่ปัญหาเหล่านี้ผมพบวิธีแก้ในห้องเรียน”
ปัจจุบัน ฟิลิป เป็นเจ้าของธุรกิจหลายด้านในกรุงย่างกุ้ง เขาศึกษาตลาดความต้องการในพม่าพบว่า ชาวพม่าต้องการแหล่งบันเทิง ไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ เขาจึงเริ่มจากธุรกิจแรกคือธุรกิจร้านคาราโอเกะเมื่อประมาณ 4 ปีก่อน แม้จะมีเสียงคัดค้านจากคนในครอบครัว แต่เขาก็ประสบความสำเร็จอย่างมากกับธุรกิจนี้ ก่อนที่จะขยายไปสู่ธุรกิจร้านเอ็มไดร์ฟ เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ของบริษัท แอปเปิ้ล จากนั้นเขาก็มีธุรกิจอื่นๆ ที่เคยร่วมกับคนไทยอย่างร้านโชคดี ติ่มซำ ปัจจุบันร้านเอ็มไดร์ฟมียอดขายเครื่องไอแมคราว 40 เครื่อง/เดือน และไอโฟนราว 80 เครื่อง/เดือน และมีแผนเจาะตลาดล่างในธุรกิจบริการขายข้าวกล่องเดลิเวอรี่ในเขตย่างกุ้ง ซึ่งเขาทิ้งท้ายว่าตอนนี้การลงทุนในพม่าถือว่าดีกว่าแต่ก่อนมาก และตัวเขาเองก็เห็นช่องทางหลายอย่างที่จะลงทุนทำธุรกิจเป็นเจ้าแรกๆ ในย่างกุ้ง
พัฒนาเขาเท่ากับพัฒนาเรา
ดร.จักรินทร์ ศรีมูล คณบดีวิทยาลัยนานาชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าอาเซียนและลาตินอเมริกา (ซี-แลค) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ผู้บุกเบิกการเปิดหลักสูตรเอ็มบีเอ วิทยาเขตย่างกุ้ง และมัณฑะเลย์ เล่าถึงที่มาที่ไปว่า “ตอนที่มาประเทศพม่าครั้งแรกประมาณปี 1995 ผมเข้าร้านตัดผมพูดคุยกับช่างตัดผมว่า เขาเรียนอะไรมาถึงมาเป็นช่างตัดผมที่นี่ เขาบอกผมว่าเขาเรียนวิศวะ แต่มหาวิทยาลัยเขาถูกปิดทำให้เขาไม่ได้เรียนหนังสือต่อ เลยต้องมาทำงานเป็นช่างตัดผม เวลานั้นเรารู้สึกว่าประเทศไทยโชคดีมากที่เรายังได้เรียนและทำงานในสิ่งที่เราอยากจะทำ คิดเล่นๆ ว่า หากมีโอกาสเราจะกลับมาเปิดการศึกษาที่นี่ เพื่อนชาวพม่าเราจะได้มีโอกาสศึกษาต่อ และไม่คิดว่าวันนึงเราจะได้กลับมาเปิดสอนที่พม่าจริงๆ
ตอนที่เรามาเปิดที่นี่ เราก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะไปได้ไหม แต่ปรากฏว่าคนพม่าให้ความสนใจมากกว่าที่เราคิด เปิดรับจำนวนเท่าไหร่กี่ห้องก็เต็มหมด อย่างรุ่นล่าสุดลงทะเบียนมาเรียนทั้งครอบครัว เพราะที่นี่จะเหมือนประเทศเราเมื่อ 30 ปีก่อน ทุกอย่างขาดแคลนมาก ที่นี่มีความต้องการในหลักสูตรการเรียนการสอนใหม่ๆ และส่วนใหญ่ก็จะเป็นลูกนักธุรกิจ ที่ต้องการความรู้กลับไปพัฒนาธุรกิจในครอบครัว
จากประสบการณ์พบว่านักศึกษาชาวพม่า จะมีอยู่ 2 แบบ คือ คนที่เรียนนอกประเทศ กับคนที่เรียนในประเทศ คนที่เรียนนอกประเทศอย่างคนที่เรียนจบจากอังกฤษหรือฮ่องกง จะเป็นคนที่กล้ายกมือถาม สงสัยยกมือ มีความเห็นอย่างอื่นก็ยกมือ ส่วนคนที่เรียนในประเทศเราจะเห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่ไม่กล้าถาม มีความกลัวอยู่มาก
จนเราต้องบอกว่า เราเป็นทรัพยากรของเขานะ เขาต้องถามจากเราให้มากๆ เพื่อเอาความรู้จากเราไปให้เยอะที่สุดให้คุ้มกับที่เขาจ้างเรามาสอน การยกมือถามไม่ได้หมายความถึงการแสดงความขัดแย้ง แต่โดยรวมแล้วคนพม่าจะเป็นคนที่มีความกระตือรือร้นในการเรียนอย่างมาก”
ดร.จักรินทร์ ทิ้งท้ายว่า หลายคนมักบอกว่าทำไมไม่พัฒนาเรื่องการศึกษาในประเทศไทยให้ดีก่อน ก็อยากจะบอกว่าการศึกษาของไทยนั้นเจริญจนเรียกได้ว่าเต็มที่ไม่แพ้ชาติไหนแล้ว และการแข่งขันของแต่ละมหาวิทยาลัยก็สูงมาก จึงอยากให้มองว่าถ้าช่วยให้พม่าเจริญขึ้น ประเทศไทยก็จะเจริญขึ้นไปอีก เพราะเขาจะมีเม็ดเงินมาซื้อสินค้าเรามากขึ้น เป็นการช่วยเศรษฐกิจไทยในทางอ้อมด้วย


