‘ป๊อปปี้’ จากนักร้องสู่เจ้าของโรงเรียน
ดนตรี คือ ยาชั้นดีที่จะช่วยทำให้จิตใจคนมีความอ่อนโยนขึ้นเมื่อได้เข้าไปสัมผัส จึงไม่แปลกที่พ่อแม่มักจะส่งเสริมลูกๆ
โดย...จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์ ภาพ... ทวีชัย ธวัชปกรณ์
ดนตรี คือ ยาชั้นดีที่จะช่วยทำให้จิตใจคนมีความอ่อนโยนขึ้นเมื่อได้เข้าไปสัมผัส จึงไม่แปลกที่พ่อแม่มักจะส่งเสริมลูกๆ ให้สนใจเรื่องของดนตรี และในยุคหลังนี้สังคมเองก็มีเวทีเปิดกว้างสำหรับคนดนตรีมากขึ้น โดยเฉพาะเวทีประกวดร้องเพลง แต่สิ่งเหล่านี้อาจไม่ได้สะท้อนการส่งเสริมให้เยาวชนสนใจดนตรีแบบครบวงจร บางคนอาจจะรู้จักดนตรีในฐานะเป็นเพียงหนทางหนึ่งที่จะนำไปสู่ชื่อเสียงอันโด่งดังหากประกวดชนะ ทั้งที่จริงแล้วดนตรีอาจมีประโยชน์กว่านั้น
ภาณุ จิระคุณ หรือ ป๊อปปี้ วัย 24 ปีผู้สั่งสมประสบการณ์จากการเป็นอดีตนักร้องบอยแบนด์วัยรุ่นชื่อดังในนาม “เค-โอติก” แห่งค่ายกามิกาเซ่บริษัท อาร์เอส เป็นอีกหนึ่งคนที่อยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันดนตรีให้เป็นแรงบันดาลใจของคนรุ่นใหม่ๆ อีกหลายคน เพื่อนำดนตรีไปสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม ด้วยการร่วมมือกับเพื่อนที่มีใจรักดนตรีอีก 3 คน เปิดโรงเรียนสอนดนตรีและศิลปะขึ้นมา ภายใต้ชื่อ ADLIB Studio ตั้งอยู่ที่ซอยทองหล่อ
ป๊อปปี้ เล่าว่า เขาเริ่มต้นเรียนดนตรีตั้งแต่เด็กๆ แต่ช่วงเวลานั้นการเรียนดนตรีมุ่งสู่เป้าหมายการสอบใบประกาศนียบัตร ทำให้รู้สึกไม่สนุกกับการเรียน กระทั่งไปออดิชั่นเพื่อเป็นนักร้องของค่ายกามิกาเซ่ใช้เวลากว่า 2 ปีในการฝึกหัดกว่าจะได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักร้องในวัย 15 ปี และก็ได้โลดแล่นอยู่ในวงการในฐานะนักร้องนาน 6 ปี
จากนั้นจึงผันตัวเองสู่การทำงานเบื้องหลังด้านการจัดคอนเสิร์ตให้บริษัทอีเวนต์แห่งหนึ่ง ซึ่งทำงานอยู่ได้ครึ่งปีแล้วก็ถึงเวลาเกณฑ์ทหาร ซึ่งโดยส่วนตัวใช้สิทธิผ่อนผันจนครบแล้ว จึงตัดสินใจสมัครเข้าเป็นทหารเลย โดยไม่ได้จับใบดำใบแดง เพราะมองว่าอยากทำหน้าที่ที่ต้องทำให้ครบก่อน หลังจากนั้นหากต้องการทำอะไรต่อก็ค่อยว่ากัน เมื่อปลดประจำการแล้วก็เดินหน้าสานฝันสำคัญในชีวิต เปิดโรงเรียนสอนดนตรีและศิลปะ ADLIB Studio ทันที
ป๊อปปี้ มองว่า ที่ผ่านมาตัวเองถือว่าอยู่ในวงการดนตรีมาแล้วทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้ถ่ายทอดประสบการณ์เหล่านี้สู่น้องๆ ที่เข้ามาเรียนดนตรีที่โรงเรียน และอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างเด็กรุ่นใหม่ที่มีใจรักดนตรี และสามารถนำดนตรีไปถ่ายทอดสร้างแรงบันดาลใจให้ใครอีกหลายคนได้ ซึ่งการที่ป๊อปปี้เลือกทำธุรกิจโรงเรียนก็เพราะมองว่าโรงเรียนจะเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดในการต่อยอดไปสู่โครงการด้านอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกันได้ เพราะโรงเรียนที่ทำก็มีแนวคิดต่างไปจากโรงเรียนทั่วไป เน้นให้นักเรียนได้มีโอกาสปฏิบัติจริง เล่นดนตรีจริง และเป็นการเล่นดนตรีที่ผสมผสานไปกับคนอื่นๆ ได้
“โรงเรียนนี้ใช้เงินทุนเปิดกว่า 2 ล้านบาท จากผมและเพื่อนอีก 3 คน ซึ่งในส่วนของผมก็นำเงินที่เก็บสะสมมาจากสมัยที่เป็นนักร้องมาใช้เป็นทุน เพิ่งเปิดตัวเป็นทางการเมื่อม.ค.ที่ผ่านมา เดิมตั้งเป้าไว้ว่าปีแรกจะมีนักเรียน 60 คน แต่ปรากฏว่ามาถึงเดือน เม.ย. ก็มีนักเรียน 50-60 คน ได้ตามเป้าหมายแล้ว จึงมองว่าสิ้นปีนี้จำนวนนักเรียนอาจจะจบที่150-180 คนได้” ป๊อปปี้ กล่าว
ช่วงที่เปิดตัวโรงเรียนนั้น ป๊อปปี้ ระบุว่า เริ่มต้นการสร้างแบรนด์โรงเรียนให้เป็นที่รู้จักผ่านโครงการเพื่อสังคมก่อน ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะก่อนหน้านั้นไปเป็นทหารมาได้ทำกิจกรรมเพื่อสังคมหลายอย่าง และโดยส่วนตัวก็ชอบกิจกรรมเพื่อสังคมมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว เมื่อได้เปิดธุรกิจโรงเรียนสอนดนตรีและศิลปะ จึงอยากเริ่มต้นจากการทำสิ่งดีๆ ให้สังคมก่อน ด้วยโครงการ “หนึ่งให้สอง สองให้สาม”ด้วยการรับสมัครเด็กๆ มาทำเวิร์กช็อปด้านดนตรีฟรี 6 สัปดาห์ จากนั้นก็นำเด็กๆ ไปเล่นดนตรีเปิดหมวกตามสถานที่ต่างๆ นำเงินที่ได้ไปสมทบทุนเครือข่ายศิลปะดนตรีคนพิการ ซึ่งเด็กๆ ทุกคนก็มีความสุขที่ได้เล่นดนตรีแล้วสร้างประโยชน์ได้ด้วย ก็สนใจอยากมาเรียนดนตรีต่อเนื่อง
โครงการต่อมาที่ทำ คือ เดอะ มิวสิคัล มินิแคมป์ ร่วมมือกับผู้กำกับที่เพิ่งจบการศึกษาจากต่างประเทศในการจัดแสดงละครเพลง นำเด็กนักเรียนที่เรียนทั้งด้านดนตรีและด้านที่เกี่ยวข้อง เช่น ศิลปะและการเต้น มาร่วมโครงการ โดยซื้อลิขสิทธิ์เนื้อหาละครเพลงจากต่างประเทศมาใช้ ซึ่งทำให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้หลายๆ ด้านดนตรีแบบครบวงจร นอกจากร้องเพลงยังเรียนรู้การแสดง การเต้น การสร้างฉากละครเวทีเองด้วย ซึ่งในอนาคตก็หวังว่าจะต่อยอดให้เด็กๆ สามารถสร้างสรรค์ละครด้วยเนื้อหาของตัวเองขึ้นมาได้
“เราอยากเปิดมุมมองใหม่ๆ ด้านดนตรีให้เด็กได้มองเห็นดนตรีแบบครบวงจร ศึกษาให้ดีว่าชอบแขนงไหน อย่าหยุดกับมุมมองดนตรีแค่ด้านเดียว เพราะแท้จริงแล้วอาจมีแขนงอื่นของดนตรีที่ชอบมากกว่า โดยทำผ่านโครงการที่สร้างขึ้น ซึ่งจะทำให้เราได้เห็นเด็กที่มีความสามารถด้านดนตรีและอาจได้เห็นความสามารถของเด็กในการเสนอความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ เรื่องอื่น ซึ่งผสมผสานกับความสามารถด้านดนตรี ทำให้เรามีโอกาสขยายไปสู่โครงการอื่นที่เชื่อมโยงกับดนตรี เปิดโอกาสให้คนจำนวนมากได้เห็นความสามารถของเด็กเหล่านี้ได้ โดยตั้งใจว่าแต่ละปีจะมีโครงการเพื่อสังคม 2 ครั้ง และโครงการเวิร์กช็อปที่ให้เด็กที่มีความสามารถด้านดนตรีและศิลปะทุกแขนงได้มาแสดงความสามารถร่วมกัน”ป๊อปปี้ กล่าว
ป๊อปปี้ มองว่า สมัยเป็นนักร้องทำงานเบื้องหลังบริษัทอีเวนต์ กับปัจจุบันที่มาทำธุรกิจ แม้เป็นการทำงานเหมือนกันแต่ก็ต่างกันมาก เพราะการเป็นนักร้องกับการทำงานเบื้องหลังเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของธุรกิจ แค่ทำหน้าที่ของตัวเอง แต่เมื่อมาทำธุรกิจเองต้องมองภาพรวมทุกอย่างให้ครบ ยิ่งส่วนตัวเรียนจบด้านสถาปัตยกรรมมาก็ยิ่งขยันศึกษาระบบการบริหารงานมากขึ้น เรียนรู้ขั้นตอนทำงานต่างๆ ที่จำเป็น ซึ่งแรกๆ ที่เปิดบริษัทยอมรับว่ามีปัญหาเรื่องการจัดระบบการเงิน ระบบงานเพราะหุ้นส่วนทุกคนก็วัยไล่เลี่ยกัน แต่ก็ผ่านมาได้เพราะพยายามปรับตัว จัดการทุกอย่างให้เป็นระบบมากขึ้น
ขณะที่หลังจากนี้ ป๊อบปี้คงไม่ได้หยุดที่การทำธุรกิจโรงเรียนเพียงอย่างเดียว เพราะนี่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น เขายังมีความฝันอยากจะทำโครงการอีกหลายอย่างเพื่อต่อยอดจากการทำโรงเรียน เช่น การทำรายการโทรทัศน์ คอนเสิร์ต ละครเวทีประเภทละครเพลง
ถือเป็นคนดนตรีอีกคนที่น่าจับตา เพราะนอกจากความสามารถทางดนตรีที่มีอยู่ในตัวแล้ว เขายังพร้อมทำหน้าที่เป็นผู้เปิดประตูให้กับผู้มีความสามารถดนตรีรุ่นใหม่ๆ ได้แสดงตัวเองให้คนอื่นเห็นด้วย


