นิศามนี เลิศวรพงศ์ แค่ยอมรับตัวเองได้ก็มีความสุข
จากเด็กผู้ชายตุ้งติ้งที่ล้างจานอยู่หลังบ้านที่แม่ขายอาหาร วันหนึ่งชีวิตของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
โดย...กองทรัพย์ ภาพ เสกสรร โรจนเมธากุล
จากเด็กผู้ชายตุ้งติ้งที่ล้างจานอยู่หลังบ้านที่แม่ขายอาหาร วันหนึ่งชีวิตของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อพี่เลี้ยงนางงามมาเป็นลูกค้าและทาบทามเข้าสู่วงการประกวด จากเด็กที่ไม่เคยแต่งตัวแต่งหน้าหรือไปเที่ยวนอกบ้าน ถูกแปลงโฉมให้เป็นนางงามเดินสาย ประกวดและคว้าสายสะพายมาแล้วตั้งแต่เวทีสาวประเภทสอง หรือแม้กระทั่งเวทีที่ประกวดรวมกับสาวแท้ และเวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต มิสมิโมซ่า ควีน ไทยแลนด์ ปี 2014 ที่เพิ่งพ้นวาระไป ทำให้โอกาสและพื้นที่ยืนของ “นิศามนี เลิศวรพงศ์” กว้างขวางมากกว่าพื้นที่หลังบ้านเป็นไหนๆ แต่กว่าจะผ่านมาถึงวันนี้ เธอฝ่าฟันอะไรมาบ้าง
ตกลงจะเป็นลูกสาว
นิศามนี หรือ นัท สาวประเภทสองที่มีนัยน์ตาเหมือนหญิงสาวที่กำลังเป็นสาวเต็มตัว เธอเล่าว่า รู้ตัวว่าอยากใส่กระโปรง อยากเล่นกับเด็กผู้หญิงตั้งแต่เด็กๆ โดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะส่งผลมาถึงตอนที่เข้าประถมในโรงเรียนชายล้วนว่าจะโดนล้อ เสียใจและเสียน้ำตา “แรกๆ เพื่อนผู้ชายจะล้อเราว่า อีตุ๊ดอีตุ๊ด ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้ว่าสิ่งที่เราเป็นคืออะไร เพราะเราแค่รู้สึกว่าเราเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ก็ร้องไห้ ไม่เข้าใจว่ามาล้อเราทำไม แต่ไม่เคยตอบโต้เลย และด้วยบุคลิกเราค่อนข้างเป็นคนเรียบร้อย ก็ทำตัวนอบน้อม เพื่อนก็ล้อได้แค่ปีเดียว จากนั้นก็เลิกล้อเพราะว่าเราไม่ใส่ใจคำล้อของเขาแล้ว หลังๆ มาก็จะกลายเป็นดาวโรงเรียนแทน (ยิ้ม)”
นัท บอกว่า เธอช่างเป็นเด็กโชคดีที่รู้ตัวเร็วว่าอยากเป็นอะไรโดยไม่โกหกตัวเองและครอบครัว ทำให้เธอเตรียมตัวที่จะเป็นผู้หญิงได้เร็ว และครอบครัวก็ยอมรับตัวตนของเธอได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นกัน “ตอนเรียนประถมคุณแม่กดดันหนักมาก เพราะนัทเป็นลูกชายคนโตในครอบครัวคนจีน และลูกพี่ลูกน้องส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ญาติพี่น้องก็จะมากดดันเราตลอด ถามเราว่า สรุปจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ห้ามเป็นนะ ถามแต่ก็เหมือนแกมบังคับว่าอย่าเป็นกะเทย สุดท้ายเราก็ตัดสินใจบอกทุกคนไปว่าอยากเป็นผู้หญิง ทางบ้านทุกคนเงียบไปเลย แต่วันต่อมาคุณแม่ซื้อชุดนอนลายพาวเวอร์พัฟเกิร์ลมาให้ แค่นี้เราก็รู้แล้วว่าท่านยอมรับ แต่อาจจะไม่ได้พูดตรงๆ หลังจากนั้นก็ไม่เคยว่าอะไรอีกเลย แล้วเวลาไปเจอเพื่อนแม่หรือใครก็ตามท่านก็จะบอกว่าเราเป็นลูกสาว
“ส่วนคุณพ่อ พอเราเริ่มโตเรื่องการเรียนไม่เคยบกพร่อง และเราทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าการที่เราจะอยู่ในเพศที่นอกเหนือไปจากชายหญิงไม่ได้เสียหาย เขาจะคอยมองห่างๆ ก็คอยเตือนเสมอว่าจะเป็นอะไรก็ได้ แต่จะต้องไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน คือจะเป็นประโยคคลาสสิกมาก แต่ว่าเป็นกฎเหล็กของตัวเองว่าเราจะไม่ทำอะไรให้คนอื่นเดือดร้อน เพราะต่อให้เราเป็นผู้ชายเราก็ไม่มีสิทธิไปทำให้คนอื่นเดือดร้อนเหมือนกัน พอยึดกฎนี้ที่พ่อบอกไว้เสมอ จนท่านยอมรับเราแล้วพ่อก็จะบอกทุกคนว่าเราเป็นลูกสาวเหมือนกัน เป็นความสุขเล็กๆ ที่ท่านมอบให้เรา
ไม่รู้เหมือนกันว่าชาติที่แล้วทำบุญด้วยอะไร เพราะว่าที่บ้านไม่ค่อยกีดกัน ปกติลูกชายคนโตในครอบครัวคนจีนจะได้รับความกดดันมากๆ เรื่องนี้ ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้ว่าพอหันหลังให้เราท่านสองคนจะกอดคอกันร้องไห้หรือเปล่า แต่ต่อหน้าเราท่านไม่กดดัน ยิ่งทำให้เราอยากจะเป็นคนดี และไม่ทำให้ทั้งสองท่านเสียใจที่เราเลือกทางเดินแบบนี้”
ความรู้คืออาวุธและหลักประกัน
มิสมิโมซ่า ปี 2014 บอกว่า สิ่งที่เธอพยายามทำให้ดีที่สุดในฐานะลูก คือการหาความรู้ใส่ตัวให้ได้มากที่สุด เพราะเธอคิดเสมอว่าความรู้คือสิ่งที่สามารถยึดเป็นหลักได้ ยิ่งเป็นเพศทางเลือกด้วยแล้ว หากมีวุฒิภาวะน้อยและความรู้น้อยด้วย ที่ยืนของเธอจะยิ่งแคบลง “ขนาดชายจริงหญิงแท้ถ้าวุฒิภาวะน้อย หรือความรู้น้อยยังหาที่ยืนยาก นับประสาอะไรกับเรา ดังนั้น นัทต้องหาสิ่งที่จะเอาไปสู้กับพวกเขา สิ่งนั้นคือความรู้ การศึกษา นัทเป็นคนเรียนหนักมาก อาจจะเพราะโดนหลอกมาตั้งแต่เด็กว่า ถ้าเกรดไม่ถึง 3 จะให้เลิกเป็นกะเทย ตอนเด็กๆ กลัวมาก พอย้อนกลับไปก็ขำว่าเออ จะเป็นหรือไม่เป็นมันอยู่ที่เรา ไม่ได้อยู่ที่เกรด (หัวเราะ) ตอนนั้นพอโดนขู่บ่อยๆ เข้าก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียน
“คุณแม่อยากให้เรียนวิชาการ เพราะเขากลัวว่าเราจะเอาตัวรอดยากถ้าเรียนศิลปะ แต่ถ้าจะเรียนศิลปะท่านก็บอกว่าให้หาเงินเรียนพิเศษเอง ก็เลยทำให้ต้องหางานพิเศษทำเพื่อเอาเงินมาเรียนพิเศษ จึงได้เรียนรู้ว่าถ้าอยากได้อะไรต้องหาด้วยตัวเองแล้วเราจะรู้ซึ้งในคุณค่าของมัน เพราะว่าวิชาที่แม่จ่ายเงินค่าเรียนให้เราไม่ได้ตั้งใจเรียนเลย แต่พอวิชาที่เราหาเงินเพื่อมาเรียนเองจะตั้งใจเรียนมาก จนทำให้เราเรียนจบด้านศิลปะมาจนตอนนี้”
นอกจากเป็นนางงามเดินสาย นัททำงานหลายอย่างมาตั้งแต่เด็ก ทุกเสาร์อาทิตย์เธอจะทำงานพาร์ตไทม์เพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเรียนพิเศษ ปิดเทอมก็ต้องทำงานและเดินสายประกวด เมื่อเริ่มเรียนด้านแฟชั่นดีไซน์ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ก็ออกแบบเสื้อผ้าและเปิดขายทางอินเทอร์เน็ต เมื่อได้สวมมงกุฎจากเวทีมิสมิโมซ่า เธอก็ได้ทำงานเบื้องหน้ามากขึ้น ทั้งพิธีกร นางแบบโฆษณา และนางเอกมิวสิควิดีโอ และสิ่งที่เธอตั้งใจเรียนมาโดยตลอดก็ผลักดันให้เธอมีอีกหนึ่งบทบาทคือ การเป็นติวเตอร์ให้กับน้องๆ ที่อยากเดินบนเส้นทางแฟชั่น
“นัทเป็นคนอยากรวย อยากให้คุณพ่อคุณแม่สบาย เลยทำงานหนักตั้งแต่เด็ก เราคิดว่าเรื่องความสวยความงามคงอยู่กับเราไม่นาน เพราะอีกไม่กี่ปีมันก็ไป ก็เลยมองหาสิ่งที่จะเป็นวิชาชีพติดตัวเราไป ก็นำความรู้ด้านดีไซน์ที่จบมาทำแบรนด์เสื้อผ้าร่วมกับน้องสาวในชื่อแบรนด์ Fratellinn
“ชีวิตเรามีหลายด้านอยู่กับเพื่อนๆ ก็เฮฮาเป็นสายตลกไป แต่พออยู่ในฐานะติวเตอร์ก็ต้องสุขุมหน่อย เป็นพิธีกรก็อีกแบบหนึ่ง นางงามเราก็ต้องยิ้มหวาน พูดน้อย แต่ทั้งหมดทั้งมวลเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ต้องขอบคุณปัญหาที่เข้ามาตอนเด็กๆ ก็เลยต้องทำงานพิเศษ มันทำให้เราแกร่งขึ้น โตขึ้น และสิ่งที่เราเคยทำมาทั้งหมดเป็นประสบการณ์ที่ใช้ต่อยอดถึงตอนนี้ เจอคนหลายรูปแบบ ฝึกภาษา ทำให้ทักษะการเอาตัวรอดของเราในสังคมได้ดี”
ยอมรับตัวเองก่อนขอให้คนอื่นยอมรับ
เมื่อถามนัทว่า การยอมรับจากคนรอบข้างสำคัญกับเธอแค่ไหน เธอบอกว่า “อันดับแรกก็คือ ถ้าเราอยากได้การยอมรับจากคนข้างนอกหรือคนในบ้านก็ตาม เราต้องยอมรับตัวเองก่อน เพราะถ้าวันนั้นเราไม่บอกแม่ว่าเราอยากเป็นผู้หญิง แม่ก็จะไม่เข้าใจเรา ญาติๆ ก็จะไม่ยอมรับเรา เพราะเรายังโกหกตัวเองเลย เราลองเรียงลำดับใหม่ ต้องยอมรับตัวเอง ต้องรู้ตัวเองว่าเราอยากเป็นอะไร ชอบอะไร อยากทำอะไร เมื่อเรารับรู้และต้องภูมิใจในสิ่งที่เราเป็นก่อนด้วย คิดบวกกับตัวเองก่อนที่คนอื่นจะคิดบวก พลังบวกจะส่งถึงคนใกล้ตัว ไม่นานเขาก็จะยอมรับเรา รวมถึงสังคมด้วย เรื่องความรักก็เหมือนกัน ถ้าเรายอมรับตัวเองเราจะเจอคนที่รักและยอมรับเรา
การเป็นชายหรือหญิงไม่ได้การันตีว่าเราจะมีรักแท้ที่มั่นคงหรือเปล่า พ่อแม่อาจจะห่วงลูกๆ ที่อยู่ในเพศทางเลือกว่าจะมีความมั่นคงในชีวิตไหม เพราะแบบแผนความรักไม่เหมือนชายหญิงทั่วไป แต่เราต้องมองหาความมั่นคงของสิ่งที่จะทำให้เรามีงาน ไม่ใช่เพศ แต่คือคุณภาพที่เรามีให้กับสิ่งที่เขาต้องการจะจ้าง ดังนั้น การศึกษาสำคัญที่สุด” มิสมิโมซ่า ปี 2014 หยอดทิ้งท้ายพร้อมรอยยิ้มที่สดใส


