ความสุขของฉัน คือการ เป็นผู้ให้
ถ้าเปรียบอายุคนเหมือนการเดินทางของเครื่องบินสักลำไปสู่จุดหมาย ในวัยที่กลางหลักสี่
โดย...ลินดา ติกกะวี เรียบเรียง พุสดี
ถ้าเปรียบอายุคนเหมือนการเดินทางของเครื่องบินสักลำไปสู่จุดหมาย ในวัยที่กลางหลักสี่ถึงจะไม่ได้อยู่ในช่วงที่ใกล้ถึงปลายทางที่ต้องเตรียมแลนดิ้ง แต่ก็ต้องยอมรับว่ามาไกลเกินครึ่งทางนับจากวินาทีที่เครื่องเทกออฟแล้ว การที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ที่ไม่เคยทำหรือมีประสบการณ์มาก่อนในชีวิตคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สำหรับฉัน ฉันตัดสินใจเดินตามความฝันที่ไม่เคยคิดมาก่อน ในวัย 45 ย่าง 46 ปีอย่างไม่ลังเล แม้จะเป็นการเดินออกจากคอมฟอร์ทโซน แต่ก็ทำให้ฉันพบกับความสุขที่ไม่เคยพบมาก่อน
ฉันมองว่า นิยามความสุขสำหรับคนเราเปลี่ยนไปตามช่วงชีวิต แต่ก่อนขอแค่ทำงานที่ได้เงินเดือนดีๆ ได้อยู่ในตำแหน่งสูงๆ ใช้ชีวิตหรูหรา คือความสุขสำหรับฉัน แต่แล้วสิ่งที่เคยคิดว่าเป็นความสุขกลับไม่ใช่เมื่อวันหนึ่งฉันล้มป่วยจนต้องไปพบแพทย์ และก็พบว่ามีความผิดปกติบางอย่างในร่างกายของฉัน คำพูดของคุณหมอที่บอกว่า ถ้าฉันยังใช้ชีวิตแบบที่เป็นอยู่ สิ่งผิดปกติที่ว่ามีโอกาสจะพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็ง ตะโกนก้องในใจฉันตลอดเวลา จนต้องหันกลับมาถามตัวเองว่า ชีวิตที่เป็นอยู่นั้น เป็นชีวิตที่ฉันต้องการหรือมีความสุขหรือยัง
ฉันยอมรับว่า ตลอดเวลาที่โลดแล่นในวงการโฆษณา เคยอยากพาตัวเองออกไปจากงานประจำที่ทำอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็ไม่เคยมีความกล้าพอ จนได้ยินเสียงเตือนจากร่างกาย ซึ่งสำหรับฉันมันเหมือนมีใครมาเคาะประตูอีกครั้ง เพื่อสร้างความมั่นใจว่า ถึงเวลาแล้วที่ฉันต้องเปลี่ยน
แน่นอนว่า ตลอดชีวิตการทำงาน 15-16 ปีในวงการโฆษณา มันไม่ง่ายเลยที่คนคนหนึ่งจะย้อนกลับมาสู่จุดเริ่มต้นถามตัวเองใหม่ว่า แท้จริงแล้วชอบอะไร อยากทำอะไร เป้าหมายอยู่ตรงไหน แต่สุดท้ายฉันก็ต้องทำ เพื่อหาคำตอบชีวิต คำตอบที่ได้ตอนนั้น คือ ฉันชอบเรียนรู้เรื่องอะไรใหม่ ชอบการพรีเซนต์และให้ความรู้กับคนอื่น
โชคดีที่พอตั้งเข็มทิศชีวิตได้ใหม่ ฉันได้เริ่มต้นงานใหม่ที่คิดว่าน่าจะตอบโจทย์ใหม่ของชีวิต ฉันยอมแลกด้วยตำแหน่งและเงินเดือนที่ลดลง เพื่อเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ทำงานด้านเทรนนิ่ง ฉันศึกษาสายงานใหม่ และเดินหน้าหาความรู้ในสิ่งที่สนใจเพิ่มเติม ชีวิตช่วงนั้นเป็นเหมือนแก้วที่ถูกเติมน้ำให้เต็มทีละนิด ได้ทำงานที่สนใจ ได้ศึกษาหาความรู้ที่สนใจ แถมยังได้เงินอีกต่างหาก
ชีวิตนี้จะมีอะไรที่โชคดีไปกว่านี้ ตอนนั้นเราบอกตัวเองว่ามาถูกทางแล้ว และถึงจะมาทำงานที่ฉีกจากสายเดิม แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมา 15 ปีก็ไม่สูญเปล่า ยังเอามาใช้กับงานที่ทำอยู่ได้ ฉันเชื่อเสมอว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเราล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น อยู่ที่ว่าเราจะหยิบเอาประสบการณ์ชีวิตช่วงไหนมาใช้
ในที่สุดวันหนึ่งฉันเกิดไอเดียอยากมาเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง ด้วยการผันตัวเองมาเป็นโค้ชเทรนนิ่ง ในวันที่เราค้นพบแล้วว่าความสุขที่สุดสำหรับเรา คือการที่เราได้ทำสิ่งที่รัก และมีส่วนให้ความรู้ เปลี่ยนแปลงชีวิตของคนอื่นด้วยการให้ไอเดีย ทัศนคติใหม่ๆ
ความมหัศจรรย์ของอาชีพนี้คือ เวลาสั้นๆ เพียง 1 วัน ที่ฉันได้มีโอกาสเข้าคอร์สเทรนนิ่ง ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างฉันกลับมีพลังมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงคนจำนวนไม่น้อย ฉันไม่รู้ว่าหลังจากเดินออกจากห้องเทรนนิ่งเขาจะเอาสิ่งที่ฟังไปใช้ได้ขนาดไหน แต่แววตาที่เต็มไปด้วยประกายที่อยากจะนำสิ่งที่ฉันพูดไปพัฒนาตัวเอง ฉันก็สัมผัสได้ถึงความสุขตรงนั้นแล้ว


