ตะวันนา ธารา 'แม่คือผู้เติมรักในใจลูกให้เต็ม'

โดย...พุสดี

ถึงจะเป็นดีไซเนอร์ที่คิวงานรัดตัวสุดๆ แต่ หนูใหม่-ตะวันนา ธารา เจ้าของแบรนด์ Thea by Thara คุณแม่ยังสวยของน้องมิลลี่-มิลรณี เกริกฤทธิ์วาณิช วัย 10 เดือน ออกปากว่าบาลานซ์ทั้งงานและลูกได้อย่างลงตัว

“หนูใหม่เลือกที่จะใช้พี่เลี้ยงให้ช่วยดูแลน้องมิลลี่ คือ ถ้าสำหรับคุณแม่ที่ออกมาเป็นแม่บ้านเต็มตัว หนูใหม่ว่าพี่เลี้ยงอาจไม่จำเป็น เพราะมีเวลาดูแลลูกได้ทั้งวัน แต่สำหรับเวิร์กกิ้งมัม ต้องยอมรับว่าบางทีเราก็มีจุดที่เหนื่อย ถ้ายังต้องเป็นคุณแม่แบบฟูลไทม์อีก บางทีอาจมีอารมณ์เสียหงุดหงิด ซึ่งหนูใหม่ไม่อยากให้ราเอาอารมณ์แบบนี้มาใส่กับลูก เลยเลือกใช้พี่เลี้ยงมาช่วยดูแลลูก ช่วยเปลี่ยนผ้าอ้อม ดูแลช่วงกลางวัน แต่กลางคืนหนูใหม่จะดูแลเอง เพราะหนูใหม่รู้ดีว่าขนาดเราเป็นแม่เองบางทีลูกงอแง ตื่นกลางดึก เรายังมีหงุดหงิด แต่เรายังเก็บอารมณ์ไม่ลงกับเขาได้ เพราะด้วยความรักที่เรามีให้เขา”

 

หนูใหม่บอกว่า โชคดีที่มีน้องมิลลี่ตอนที่งานเริ่มลงตัว ทำให้แบ่งเวลาระหว่างเรื่องงานกับเวลาให้ลูกได้อย่างไม่หนักใจ สามารถออกแบบตารางชีวิตแบบที่ต้องการได้

“ใน 1 สัปดาห์หนูใหม่จะหาเวลาไปส่งมิลลี่ที่โรงเรียนให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ใช้เวลาอยู่กับเขาที่โรงเรียน ดูเขาทำกิจกรรมประมาณ 1 ชั่วโมง ถามว่ายากมั้ย ไม่เลยนะ เพราะถ้าลองมาคิดดูใน 1 สัปดาห์ มีตั้งเป็นร้อยชั่วโมง เราแบ่งเวลาไปส่งไปดูลูกที่โรงเรียน 3 ชั่วโมงมากเหรอ สำหรับหนูใหม่ไม่เลย เป็นสิ่งที่เราอยากทำให้เขา หนูใหม่คิดว่าถ้าเมื่อไหร่เราบอกว่าเราไม่ว่าง หมายความว่าเราเอาตัวเราเป็นหลักหรือเปล่า อย่างที่บอกด้วยงานของเรา อาจจะต้องมีนัดต่างๆ เข้ามา แต่ถ้าเราลงบุ๊กในตารางว่านี่เป็นเวลาของมิลลี่ ตารางงานไหนเข้ามาก็เลื่อนได้”

 

อีกหนึ่งข้อดีของการที่หนูใหม่แบ่งเวลาไปดูลูกที่โรงเรียน ยังทำให้หนูใหม่ได้สังเกตพฤติกรรมของลูก ได้รู้ว่าเขาชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร เพราะบางทีถึงเราถามเขาก็ไม่รู้จะบอกเรายังไง สู้เราไปสังเกตไปดูด้วยตาดีกว่า

“หนูใหม่ไม่อยากให้งานหรือเงินมาเป็นตัวบงการชีวิตเรา แต่อยากให้งานและเงินมาเติมเต็มชีวิตเราให้สมบูรณ์ เพราะฉะนั้น ชีวิตของหนูใหม่จะพยายามบาลานซ์ระหว่างงานและครอบครัวอย่างดี ไม่เช่นนั้นความสุขที่แท้จริงไม่มีวันเกิดขึ้น”

 

ถามว่ากับการเลี้ยงลูกคนแรก หนูใหม่อ่านตำราเยอะมั้ย เยอะมาก ยังคิดเล่นๆ ว่า ถ้าไม่เป็นดีไซเนอร์คงเป็นนักวิจัยไปแล้ว เพราะหนูใหม่ชอบด้านจิตวิทยา หนูใหม่เคยไปเข้าคอร์สด้านจิตวิทยา พบว่า คนเรามี 4 ด้าน คือ 1.ด้านที่คนอื่นมองเรา 2.ด้านที่เรารู้จักตัวเอง 3.ด้านมืดในตัวเองที่เราทำพฤติกรรมนี้มาตลอดแต่ไม่เคยรู้ตัว และ 4.ด้านที่เรามีแต่แม้แต่ตัวเราเองยังไม่เคยรับรู้

“หนูใหม่เชื่อว่าทุกคนโตมาโดยมีอะไรที่ขาดหายไปในใจ เพียงแต่เราอาจไม่รู้ตัว ดังนั้นหนูใหม่พยายามเลี้ยงมิลลี่ให้เขาเติบโตมาแบบเติมเต็มในทุกความรู้สึก ให้ความรักเขาเต็มที่ เพื่อที่เขาโตมาจะได้ไม่รู้สึกว่าตัวเองโหยหาอะไรในความรู้สึก ยกตัวอย่าง ทำไมบางคนต้องออกไปโหยหาความรักจากคนอื่น ถ้าย้อนไปดูอาจเพราะเขาไม่ได้รับความรักที่อบอุ่นเพียงพอจากครอบครัว ดังนั้นหนูใหม่อยากทุ่มเทความรักจากครอบครัวให้มิลลี่อย่างเต็มที่ เพื่อเขาจะได้โตมาแบบเข้มแข็ง”

 

ด้วยมิลลี่อยู่ในวัยกำลังเรียนรู้ หนูใหม่จึงทำข้อตกลงกับสามีไว้เลยว่า พ่อแม่ต้องไปในทางเดียวกัน อย่าให้ลูกรู้สึกว่าใครมีอิทธิพลเหนือใคร ต้องให้เขารู้สึกว่าพ่อแม่รักกันมาก มากกว่าที่รักเขา เพราะฉะนั้นถ้าพ่อหรือแม่บอกไม่ก็คือไม่

“ตอนนี้มิลลี่เริ่มแสดงอาการก้าวร้าวเมื่อโกรธด้วยการกรี๊ด หนูใหม่เคยอ่านหนังสือเจอว่าเมื่อไหร่ที่เด็กเริ่มแสดงอารมณ์ แสดงว่าเขามาถึงวัยที่เราสอนเขาได้แล้ว เพราะฉะนั้น เวลามิลลี่กรี๊ดหรือลงไปดิ้นเวลาไม่พอใจ หนูใหม่จะสอนตลอดว่า ทำแบบนี้ไปก็ไม่ได้อะไร ถ้าหยุดทำเมื่อไหร่ค่อยมาคุยกัน”

สุดท้าย หนูใหม่ บอกว่า ตั้งใจว่าเมื่อมิลลี่โตพอรู้เรื่องจะฝึกให้เริ่มทำงาน เพราะอยากปลูกฝังให้ลูกมีวินัย รู้ว่าคุณค่าของคนเราอยู่ที่การทำงาน ไม่อยากให้ลูกเป็นคนที่ดูถูกงานและเงิน"