เพราะเฉียดเส้นความตาย จึงรู้ ชีวิตนี้ช่างมีค่า
คนแปลกหน้าที่มีจุดหมายปลายทางเดียวกัน ยืนรวมกันอยู่ที่ท่าเรือแห่งหนึ่งเพื่อรอเรือมาเทียบฝั่ง
โดย...พุสดี สิริวัชระเมตตา ภาพ : คลังภาพโพสต์ทูเดย์
คนแปลกหน้าที่มีจุดหมายปลายทางเดียวกัน ยืนรวมกันอยู่ที่ท่าเรือแห่งหนึ่งเพื่อรอเรือมาเทียบฝั่ง เธอคือหนึ่งในสมาชิกตรงนั้น ขณะที่เรือกำลังจะแล่นมาเทียบฝั่ง เธอได้ยินเสียงคนเรียกชื่อ ณ วินาทีนั้น เธอตัดสินใจอย่างไม่ลังเลที่จะหันไปบอกคนคุมว่า
“ฉันไม่ไปแล้ว มีคนเรียกฉัน ฉันจะกลับไป ฉันไม่รู้หรอกว่านั่นคือเสียงใคร แต่คงเป็นเสียงคนที่รักฉันอย่างสุดหัวใจ”
ภาพความทรงจำของ เหน่ง-ภญ.จิตติมา เสมอภาค ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์วิชี่ หญิงสาวที่นอนสลบไม่รู้ตัวไปถึง 10 วัน หลังผ่านเหตุการณ์ครั้งใหญ่ในชีวิต ถูกย่นย่อเหลือเพียงแค่นี้ เธอจำไม่ได้เลยว่า ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นกับเธอ เพราะภาพสุดท้ายในความทรงจำของเธอก่อนจะออกเรือไปคือ เธอดำดิ่งลงไปสู่ใต้ท้องทะเลที่เกาะเต่า เพื่อรอบัดดี้อีกคนลงไปเพื่อสอบวัดระดับการดำน้ำเป็นวันที่สอง
ตามหานาทีชีวิตที่หายไปกับสายน้ำ
เหน่ง เล่าถึงประสบการณ์ชีวิตที่จำไม่มีวันลืมว่า ย้อนกลับไปตอนอายุ 28 ปี เหน่งบอกว่าเคยได้ยินมาว่าตามหลักความเชื่อบางศาสตร์บอกว่า ผู้หญิต้องระวังเมื่ออายุไปตกลงที่เลข 2/5/8 แต่เธอเองไม่เคยคิดว่าในช่วงวัยนี้เธอจะเจอบทเรียนชีวิตที่ยิ่งใหญ่ให้ต้องจารึกไว้ในความทรงจำไม่มีวันจาง
เหน่ง บอกว่า ตอนนั้นเพิ่งเรียนจบปริญญาโทจากอังกฤษกลับมาเริ่มทำงานที่บริษัทยาแห่งหนึ่ง ยอมรับว่าช่วงนั้นเป็นวัยที่คึกคะนองใช้ชีวิตสุดโต่งมาก วันหนึ่งเธอออกทริปไปกับเพื่อนร่วมงานที่บริษัท เพื่อไปสอบเป็นนักดำน้ำขั้น PADI Advanced Open Water การสอบนี้ใช้เวลา 3 วัน วันแรกการสอบผ่านไปด้วยดี แม้จะต้องมีการทดสอบดำน้ำตอนกลางคืน
“การดำน้ำวันแรกเราปลอดภัยดี แต่เอาเข้าจริงๆ มาย้อนคิด ก็มีเรื่องแปลกๆ เหมือนกันนะ แต่เราไม่ได้ฉุกคิด จำได้ว่าตอนนั้นดำน้ำอยู่ดีๆ เสื้อชูชีพที่ปล่อยลมออกมาแล้ว อยู่ดีๆ ก็สูบลมเข้าไปเอง พอสูบเต็มก็ทำแล้วเด้งขึ้นมาจากน้ำเฉยเลย จริงๆ เป็นเรื่องที่อันตรายนะ ถ้าเกิดมีเรือหรืออะไรอยู่เหนือศีรษะเรา พอโผล่ขึ้นมาอาจจะชนเต็มๆ แต่ครั้งนั้นโชคดีไม่มีอะไร พอดำน้ำเสร็จคืนนั้น เราก็เฮฮากับเพื่อนเต็มที่ นั่งกินเหล้า คาราโอเกะ เมาท์มอยกับเพื่อนๆ ที่ไปด้วยกัน กว่าจะเข้านอนก็ดึก”
พอรุ่งอีกวัน ตอนเช้าต้องมาทดสอบดำน้ำ เหน่งยอมรับว่าร่างกายไม่เต็มร้อย เธอรู้สึกเวียนหัวจึงตัดสินใจกินยาแก้แพ้ 1 เม็ด และก็ไปรอทดสอบ เหน่ง บอกว่า เธอเป็นคนแรกๆ ที่สามารถจัดการตัวเองได้เร็ว พร้อมจะเข้าสู่การทดสอบ
“เหน่งเคลียร์หูได้เร็วมาก ลงไปแตะพื้นน้ำก่อนคนอื่น ตอนที่ดำลงไปใต้น้ำ เราลงไปยืนรอบัดดี้ ในความรู้สึกเราตอนนั้นคือ รอนานมาก บัดดี้ไม่ลงมาสักที จนเริ่มรู้สึกอึดอัด เลยตัดสินใจจะขึ้นไปดู ซึ่งตามหลักการดำน้ำ เวลาจะพาตัวเองขึ้นไป จะต้องค่อยๆ ขึ้น และไปอยู่ที่จุดพักก่อน เพื่อให้ร่างกายได้ปรับความดัน ซึ่งตอนนั้นเราก็ตั้งใจจะไปจุดพักก่อน แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างกายเราน็อกไปกลางทะเล”
ถามว่าจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นได้มั้ย เหน่ง บอกว่า ไม่เลย ทั้งหมดมาจากคำบอกเล่าของคนรอบข้าง
“บัดดี้เล่าให้ฟังว่า ตอนที่กำลังจะลงมา ก็เห็นเหน่งเหมือนคนไม่รู้ตัว ท่อออกซิเจนหลุดออกจากปาก อาหารที่กินเข้าไปเมื่อเช้าก็เหมือนเราอาเจียนออกมาหมด เขาก็เลยรีบลงมาพาเราขึ้นไป แต่ก็เป็นไปอย่างทุลักทุเล เพราะบัดดี้เราเป็นผู้หญิงตัวประมาณเดียวกัน พอขึ้นไปได้กว่าจะเรียกคนเรือเอาเรือมารับพาไปเรือใหญ่ ก็ต้องใช้เวลา เพราะต้องเข้าใจว่า นาทีนั้นทุกคนสนใจแต่การดำน้ำตรงหน้า สิริรวมเวลากว่าจะไปถึงเรือใหญ่ก็ 10 กว่านาที ซึ่งตลอดเวลา 10 กว่านาทีนั้น เหน่งหยุดหายใจไปตั้งแต่อยู่ในน้ำแล้ว”
พอขึ้นมาถึงบนเรือ ก็ได้คนเรือช่วยผายปอด จนเธอสามารถกลับมาหายใจได้อีกครั้ง แต่ปฏิกิริยาที่ตามมา ก็สร้างความตื่นตะลึงให้คนรอบข้าง เพราะเธอส่งเสียงกรีดร้อง โวยวาย พฤติกรรมดังกล่าว เหน่งรู้ภายหลังว่า เป็นปฏิกิริยาที่ร่างกายตอบสนองเพื่อรับออกซิเจนเข้าไปในปอดให้มากที่สุด พอขึ้นฝั่งมาได้ เหน่งถูกส่งตัวรักษาที่โรงพยาบาล แต่แล้วในช่วงคืนนั้น เธอก็หยุดหายใจไปอีกครั้ง โชคดีที่หมอพบสาเหตุว่า เป็นเพราะมีเสมหะไปอุดตัน จึงเอาออกและช่วยให้เธอกลับมาหายใจเองอีกครั้ง
“ถึงจะหายใจ แต่เรายังไม่ฟื้น โชคดีที่ทริปที่เราไป มีเพื่อนร่วมคณะเป็นหมอ หนึ่งในนั้นมีคุณหมอที่เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา อยู่โรงพยาบาลพระปิ่นเกล้า ซึ่งเป็นเจ้าของไข้เราในเวลาต่อมา ตัดสินใจให้นำตัวเข้ามารักษาที่กรุงเทพฯ ซึ่งการเดินทางมา ก็ต้องเช่าเครื่องบินปรับอากาศพิเศษ ซึ่งค่าใช้จ่ายในการใช้บริการค่อนข้างสูง อยู่ที่ 3-4 แสนบาท รับผู้โดยสารได้เพียง 3 คน หมายถึงคนขับ 1 คน เหน่งในฐานะคนไข้และหมอ
สาเหตุที่ต้องใช้เครื่องบินพิเศษ เพราะโดยปกติคนที่เพิ่งดำน้ำ จะไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นเครื่อง 2-3 วัน เพราะต้องให้ร่างกายได้ปรับความดันในตัวก่อน แต่เครื่องบินที่ว่านี้จะมีการปรับความดันพิเศษ จึงทำการบินในระดับความสูงที่ไม่มากนัก”
หลังจากมารักษาตัวที่กรุงเทพฯ เธอนอนไม่รู้สึกตัวในห้องไอซียูได้ประมาณ 1 สัปดาห์ จนหมอแน่ใจว่าทุกอย่างปกติ เพียงแต่ยังไม่ฟื้น จึงตัดสินใจให้ย้ายมาห้องพักปกติ
“ตอนนั้นที่บ้านก็ทำใจนะ คิดว่าฟื้นมาก็คงไม่ปกติเหมือนเดิม เพราะหยุดหายใจไปเป็น 10 นาที แถมช่วงที่บอกว่านอนไม่ได้สติยังมีพฤติกรรมแปลกๆ ร้องตะโกนโวยวาย พูดจาไม่รู้เรื่อง ทำตัวเหมือนเด็ก จนพยาบาลต้องเอาเชือกมามัดมือไว้กับเตียง ไม่อย่างนั้นแกะสายออกซิเจน สายน้ำเกลือออกหมด ระหว่างนั้นคุณพ่อคุณแม่พี่ชายก็มาเฝ้าไม่ห่าง คุณแม่คอยมาเรียกให้ฟื้นขึ้นมาสักที”
ปาฏิหาริย์บังเกิด?
ไม่น่าเชื่อว่า หลังจากมาพักที่ห้องปกติได้ไม่นาน จู่ๆ เธอก็ฟื้นขึ้นมา ราวกับเป็นคนปกติที่หลับไปเท่านั้น เพียงแต่ไม่หลงเหลือความทรงจำครั้งสำคัญในชีวิตไว้แม้แต่น้อย
“วันที่ฟื้นขึ้นมา พอดีเจ้านายชาวเยอรมันมาเยี่ยมพอดี เหน่งก็พูดคุยโต้ตอบกับเขาเป็นภาษาอังกฤษตามปกติ แต่ปรากฏว่าทุกคนในห้องงงมาก เพราะเตรียมใจกันไว้แล้วว่า ถึงเราฟื้นมาอาจจะไม่เหมือนเดิม เพราะร่างกายขาดออกซิเจนไปหลายนาที แต่พอเจอว่าเราเป็นปกติดี เลยแปลกใจผสมดีใจ แต่ปัญหาคือ พอถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนดำน้ำ เหน่งกลับพบว่าทุกอย่างว่างเปล่า
พยายามมานั่งนึกก็นึกออกแต่เพียงว่าเราอยู่ที่ท่าเรือ กำลังรอจะขึ้นเรือออกไป แต่มีคนเรียกเราไว้ซะก่อน เลยตัดสินใจปฏิเสธไม่ขึ้นเรือตามที่ตั้งใจไว้ ซึ่งเหน่งเชื่อว่าเสียงที่เรียกนั้นเป็นเสียงของคุณแม่ ประกอบกับผลบุญที่เราทำมา และพี่ชายที่ยอมบนว่าจะบวชให้ถ้าเราฟื้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ประทับใจมากนะ เพราะพี่ชายเหน่งไม่เคยคิดจะบวชเลย แต่ยอมทำเพื่อให้น้องสาวฟื้น”
หลังจากผ่านเหตุการณ์วันนั้น ผลการตรวจร่างกายของเธอเป็นปกติราวกับปาฏิหาริย์ คุณหมอบอกว่ามีสมองบางส่วนที่ตาย แต่ก็ไม่น่าเป็นห่วง เธอสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ แม้จะหลงเหลือบาดแผลแห่งความทรงจำให้ดูต่างหน้า คือ อาการลิ้นชา และเส้นเลือดที่ปูดโปน เนื่องจากมีไนโตรเจนในเลือดสูง แต่อาการเหล่านี้ใช้เวลาไม่กี่เดือนก็หายขาด ทิ้งไว้เพียงบทเรียนชีวิตครั้งสำคัญ จนบัดนี้หมอยังไม่สามารถหาสาเหตุอาการน็อกกลางทะเลได้ แต่คาดว่าอาจจะเป็นเพราะตอนที่จะขึ้นจากใต้น้ำมาบนบก เธอพาตัวเองขึ้นมาเร็วเกินไป จนร่างกายปรับสภาพไม่ทัน
“หลังผ่านนาทีความตาย ซึ่งสำหรับเหน่งเหมือนตายแล้วเกิดใหม่มาแล้ว 1 ครั้ง ยอมรับนะว่า ทำให้เหน่งหันมาใส่ใจกับการใช้ชีวิตมากขึ้น จะว่าไปถึงจะโชคดีได้ชีวิตกลับคืนมา แต่ด้านหนึ่งเราก็เศร้านะ ที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เราต้องจบชีวิตการดำน้ำ ทั้งที่ยังมีอีกหลายที่ที่สวยๆ แต่ยังไม่ได้ไป เสียดายช่วงเวลาและมิตรภาพที่เกิดจากการดำน้ำ ถามว่า การดำน้ำสนุกมากขนาดไหน ก็ไม่เท่าไหร่ แต่เหน่งว่ามันเหมือนวงเหล้า ถามว่าเหล้าอร่อยมั้ย ก็ไม่ แต่บรรยากาศการล้อมวง นั่งคุยกับเพื่อนมันคือความสนุก”
แต่อีกด้าน เหตุการณ์นี้ก็ให้ข้อคิดสำคัญกับชีวิตเราว่า อย่าทำอะไรบ้าพลัง หรือสุดโต่ง พอผ่านจุดแห่งความตายมา มันทำให้เราเลิกใช้ชีวิตแบบประมาท อีกอย่างคือ เธอบอกตัวเองเสมอว่า อยากทำอะไรในชีวิตให้รีบทำ เพราะไม่รู้ว่าความตายจะมาหาเมื่อไหร่ ถ้าตราบใดสิ่งที่เราอยากทำไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ที่สำคัญคือ หันมารักครอบครัวมากขึ้น เพราะสุดท้ายช่วงเวลาความเป็นความตายก็มีแต่คนในครอบครัวที่อยู่ข้างเรา”
โดมิโนแห่งความโชคร้ายมาเคาะประตูบ้าน
เหน่ง บอกว่า หลังผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ มา เชื่อมั้ยว่า เรื่องของเราเหมือนเป็นปฐมบทที่ยังมีภาคต่อของเรื่องร้ายๆ มาเกิดกับคนในบ้านไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่คุณแม่ ที่อยู่ดีๆ ขาบวม เพราะเส้นเลือดไปอุดตันบริเวณเข่า ซึ่งอันตรายมาก ถ้าลิ่มเลือดไปอุดตันพุ่งเข้าสู่หัวใจอาจเสียชีวิตได้ ทุกวันนี้ยังต้องคอยฉีดยาสลายลิ่มเลือด
ต่อมา พี่ชายก็หลับในขับรถไปอัดเข้ากับรถบรรทุกบนทางด่วนบางนา เจ็บหนัก จนมาถึงคุณพ่อวัยเกษียณที่หันไปทำธุรกิจเหมืองแร่ที่พม่า โชคร้ายไปเจอพายุฤดูร้อน พัดต้นไม้หักโค่นมาทับบ้าน เคราะห์ดีที่ลำต้นที่มาทับบ้านพักคุณพ่อยังไม่ใหญ่มาก เลยแค่บาดเจ็บสาหัส แต่อีกต้นที่หักไปทับบ้านวิศวกรที่อยู่ไม่ไกลกันนั้น เสียชีวิตทั้งบ้าน
“จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันในระยะเวลา 1 ปี ทำให้เหน่งเริ่มสังหรณ์ใจ เลยตัดสินใจไปเรียนดูหมอ แล้วหมอดูที่สอนก็ทักว่า ที่บ้านเราเพิ่งมีการต่อเติมหรือเปล่า เราก็บอกว่าใช่ เขาบอกว่านี่แหละเป็นสาเหตุให้สิ่งไม่ดีเข้าบ้าน จนนำมาซึ่งเหตุการณ์ร้ายๆ ที่ไม่เชื่อว่าจะเกิดกับทุกคนในบ้าน จึงแนะนำให้หาวิธีแก้ ซึ่งเราก็ทำตามในสิ่งที่ทำได้”
เล่ามาถึงตรงนี้ เหน่ง บอกว่า จะว่าไปชีวิตเธอเองก็เหมือนถูกโชคชะตาขีดไว้ ให้เฉียดตายมาตั้งแต่วินาทีที่จะลืมตาดูโลก เพราะวันที่จะคลอด อยู่ๆ เธอก็ไม่หายใจ จนคุณหมอบอกให้ทำใจ และตัดสินใจจะผ่าเอาซากทารกออกจากท้องคุณแม่มาแล้ว
“เหน่งเป็นเด็ก 8 เดือน จะได้ยินคำพูดว่า เด็ก 8 เดือนมักไม่รอด แต่เหน่งเป็นเด็ก 8 เดือนที่รอดค่ะ คุณแม่เล่าให้ฟังว่า วันที่จะมาคลอดเหน่ง ปรากฏว่าพอคุณหมอมาตรวจพบว่าเด็กไม่หายใจ ทำยังไงก็ไม่หายใจ เลยตัดสินใจว่าจะผ่าเอาซากเด็กทารกออก ปรากฏว่าพอผ่าเอาเด็กออกมา เด็กทารกคนนั้นกลับหายใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าดีใจท่ามกลางความประหลาดใจ แต่ถึงจะเป็นเด็ก 8 เดือน เหน่งก็โตมาแบบแข็งแรงดี ไม่เจ็บไม่ป่วย จนกระทั่งมาเจอเหตุการณ์ดำน้ำนั้น ซึ่งเหน่งว่าเป็นเรื่องที่สุดๆ ของชีวิต”
เหน่ง ทิ้งท้ายว่า จากวัยรุ่นคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตสุดโต่ง ใช้ชีวิตแบบคึกคะนองตั้งแต่สมัยเรียน เคยเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่ขึ้นดอยกับเพื่อน ทั้งที่ขี่รถไม่เก่ง จนรถไถลลงจากดอย มาจนเหตุการณ์สลบไปตอนดำน้ำ ได้เปลี่ยนมุมมองความคิดที่มีต่อชีวิตเธอไปอย่างสิ้นเชิง
ยิ่งมองย้อนกลับไปหาความทรงจำ เรื่องราวที่เคยทำมา ยังอดตำหนิตัวเองไม่ได้ว่า ทำไมกล้าทำแบบนั้น ตอนนี้เธอบอกตัวเองเสมอว่า จะเอาชีวิตไปตั้งอยู่ในความประมาทไม่ได้อีกแล้ว เพราะมีคนข้างหลังอย่างคุณพ่อคุณแม่ที่รอเธออยู่
“แม่เคยบอกเหน่งว่า เหน่งเป็นคนมีบุญ ถึงได้รอดตายจากเหตุการณ์ดำน้ำมาได้ แต่เหน่งคิดว่า ไม่ใช่หรอก คุณแม่ต่างหากที่มีบุญ เพราะถ้าเหน่งไม่ฟื้น หรือฟื้นมาแล้วไม่เหมือนเดิม ต้องให้คุณแม่ดูแลลูกสาวคนนี้ไปตลอดชีวิต คุณแม่จะลำบากมากกว่า ดังนั้นด้วยบุญของคุณแม่ทำให้ลูกสาวคนนี้รอดมาได้ และได้ชีวิตกลับมาเพื่อดูแลคุณแม่อีกครั้ง”


