วินิจ เลิศรัตนชัย ผู้สร้างทอล์กออฟเดอะทาวน์
เติบโตมาจากการเป็นผู้ประกาศข่าวทางสถานีวิทยุเอเอ็ม เงินเดือนพันกว่าบาท เมื่อ 33 ปีที่แล้ว
โดย...เพ็ญแข สร้อยทอง ภาพ...ภัทรชัย ปรีชาพานิช
เติบโตมาจากการเป็นผู้ประกาศข่าวทางสถานีวิทยุเอเอ็ม เงินเดือนพันกว่าบาท เมื่อ 33 ปีที่แล้ว ก่อนจะกลายมาเป็นนักจัดรายการวิทยุชื่อดัง พิธีกร รวมทั้งผู้บริหารสถานีวิทยุ เขาผ่านคลื่นลมมรสุมต่างๆ มาไม่น้อย ก่อนที่จะมาเป็น “วินิจ เลิศรัตนชัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเฟรชแอร์เฟสติวัล บริษัทผู้จัดอีเวนต์ ออร์แกไนเซอร์สร้างโปรเจกต์พิเศษ และโชว์บิซิเนสที่มีชื่อเสียงเจ้าหนึ่งของไทย
คงจะไม่ผิดถ้าจะบอกว่า วินิจ คือผู้สร้างอีเวนต์ที่เป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” ในหลายครั้ง เช่น งานพระมหาชนก เดอะ ฟีโนมีนอน ไลฟ์ โชว์ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 87 พรรษา เมื่อปลายปี 2557 ที่ผ่านมา งานละครเพลงกลางน้ำโปรดักชั่นอลังการนี้ ทำให้คนครึ่งค่อนเมืองต่างก็รู้สึกว่า … ไม่ดูไม่ได้ ต้องดูให้ได้ จึงเกิดภาพคนจำนวนมากเข้าแถวกันยาวเหยียดเพื่อรับบัตรชม (ฟรี) ในทุกวันที่เปิดการแสดง
และเมื่อไม่กี่วันมานี้ วินิจ ก็สร้างแรงกระเพื่อมได้อีกครั้ง เมื่อเขาประกาศจัดคอนเสิร์ตครั้งแรกในไทยของ อันเดรอา โบเชลลิ สุดยอดนักร้องโอเปร่าชาวอิตาลี โดยมีโปรดิวเซอร์ก้องโลก เดวิด ฟอสเตอร์ รวมทั้ง แคทเธอรีน แม็คฟี จากเวทีอเมริกัน ไอดอล สาวน้อย แจ็คกี อีแวนโค จากเวทีอเมริกาส์ ก็อต ทาเลนท์ ฯลฯ มาร่วมด้วย ในงาน “MahaNakhon Presents A Magical Night with Andrea Bocelli : The World’s Most Beloved Tenor” ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 26 เม.ย.นี้ ณ พารากอนฮอลล์
ขณะที่หลายคนกำลังวิตกกังวลเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจ วินิจผุดไอเดียสร้างอีเวนต์ใหญ่ที่จะเกิดขึ้นวันเดียวรอบเดียวมูลค่าราว 130 ล้านบาท เป็นงานร่วมกับศิลปินระดับโลกค่าตัวแพงผู้มีตารางเวลาแน่นขนัด (26 เม.ย. เป็นวันเดียวที่เขาว่างในรอบ 3 ปี!!!) คอนเสิร์ตนี้จะมีคนเพียง 2,000 คนได้ชม โดยราคาบัตรอยู่ที่ 2.5 หมื่นบาท 1.2 หมื่นบาท สำหรับบัตรสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่มาพร้อมมื้ออาหารค่ำจากเชฟมิชลิน 3 ดาว จะแพงที่สุดคือ โต๊ะละ 1.5 ล้านบาท ข่าวร้ายคือ บัตรจำหน่ายหมดแล้ว!!! โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย ผู้จัดจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี งานนี้เป็นการทำงานของคนหลายร้อย รวมถึงวงดนตรีออร์เคสตราที่จะเล่นให้กับอัจฉริยะผู้พิการทางสายตาผู้นี้ ซึ่งประกอบด้วยนักดนตรี 71 คน คอรัสอีก 60 คน มีทั้งคนไทยและต่างชาติที่ถูกคัดเลือกมาทำงานร่วมกับผู้อำนวยเพลงของ อันเดรอา โบเชลลิ
ย้อนหลังไปก่อนหน้านี้ วินิจ และเฟรชแอร์ฯ คือคนนำ ไซ ศิลปินเกาหลีเจ้าของเพลง Gangnam Style ซึ่งกำลังฮอตสุดๆ ในตอนนั้น มาร่วมงานลอยกระทงที่เมืองทองธานีเมื่อปลายปี 2555 พวกเขาสร้างมหกรรมดนตรี 30 ปี คาราบาว ที่จัดคอนเสิร์ตมาตรฐานสากลทั่วไทยและในหลายประเทศเมื่อปี 2554 รวมทั้งงานแสดงแสงสีเสียงแบบ 4D ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ในปี 2552 เป็นต้น โดยแต่ละโปรเจกต์นั้นมักจะแตกต่างจากงานชิ้นเก่าๆ ที่เคยทำ
“ผมจะหลีกเลี่ยงการทำงานซ้ำเดิม งานที่ทำมันก็จะโตขึ้นไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ เรารู้สึกสนุกกับทุกงานที่เราจับต้องมันได้ ต้องคิดเรื่องใหม่ๆ เสมอ ในเรื่องงานผมต้องคิดเกิน ฝันเกิน บางทีมันมากกว่า Think Big ในความหมายของผมคือ เรื่องเล็กก็ต้องคิดใหญ่ เรื่องใหญ่ก็ต้องคิดให้มันใหญ่ขึ้น เพราะนั่นหมายความว่าเราจะให้ความสำคัญกับทุกงานที่เราคิดทำ
“งานพระมหาชนกเป็นงาน 300 กว่าล้านบาท เราประชุมกันมาเป็น 10 เดือน แต่ก็ยังไม่มีใครเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ ก่อนหน้าจะถึงงานเดือนเศษๆ ยังไม่มีใครมาสนับสนุน หลายคนบอกเลิกเถอะ แต่ผมต้องเดินหน้าต่อ”
โปรเจกต์ใหญ่ใช้ทุนและคนทำงานมหาศาลเหล่านี้เกิดจากเฟรชแอร์ฯ ที่มีพนักงาน 30 กว่าคน “แต่เรามีมือทำงานมาร่วมกับเราอีก ก็ต้องเลือกว่างานสเกลนี้เราจะทำกับกลุ่มไหน พนักงานของเราคือทีมบริหารจัดการซึ่งต้องทำงานร่วมกับคนอื่นให้ได้”
ผลงานของ วินิจ โดยเฉพาะที่เป็นไลฟ์โชว์นั้น เกิดขึ้นโดยมีแรงบันดาลใจจาก จางอี้โหมว ผู้กำกับชาวจีน “ตอนที่เขาทำพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิก (ปี 2551 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน) หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ ผมให้ทีมงานติดต่อไปถึงทีมงานของเขาบางส่วน ผมสะสมทีมงานไว้ก่อน จนกระทั่งมีโอกาสทำงานพระที่นั่งอนันตสมาคมก็ดึงคนเหล่านั้นมา มีทั้งจากสิงคโปร์ ฝรั่งเศส เยอรมัน”
แต่กับงานพระมหาชนกเขาบอกว่าโชคดีที่ตัดสินใจใช้ทีมงานไทยทั้งหมด “ก่อนแสดง 2 อาทิตย์ ผมยังไม่รู้เลยว่าโชว์จะออกมาแบบไหน เพราะทุกคนแยกส่วนกันซ้อม แล้วงานใหม่ๆ ก็มีเติมทุกวัน ทีมงานคนไทยจะยืดหยุ่นสูง ทีมฝรั่งเขาจะเป๊ะ ถ้างานพระมหาชนกนี่ทำกับต่างชาติก็อาจจะไม่เกิด แต่ก่อนหน้านั้นก็ต้องละลายพฤติกรรม เพราะแต่ละคนก็เทพทั้งนั้น เราต้องเป็นตัวกลาง เป็นเทคนิคในการบริหารจัดการ ผมไม่ได้มีความสามารถทำได้ทุกเรื่อง ผมเหมือนคอนดักเตอร์ที่กำกับดนตรีให้เล่นพร้อมกันให้ได้”
งานเกือบทุกชิ้นเป็นผลงานที่ทางบริษัทคิดสร้างสรรค์ขึ้นก่อนจะหาคนร่วมงานและสนับสนุน “เราไม่ใช่บริษัทออร์แกไนเซอร์ที่ไป Pitch งานกับคนอื่น ไป Bid สู้ก็ไม่เอา เพราะว่าเราไม่มีศักยภาพสู้คนอื่นได้ ไม่มีความพร้อม ถ้าจะให้เราทำก็ต้องเชื่อว่าเราทำได้ ส่วนใหญ่จะคิดโปรเจกต์ขึ้นมา แล้วค่อยเดินออกไปตลาดดูว่ามีใครที่เหมาะกับงานเราบ้าง”
ปีนี้ วินิจ และเฟรชแอร์ฯ มีอีก 2 โปรเจกต์ใหญ่ คือ แอนิเมชั่นเกี่ยวกับคุณทองแดง “เราใช้สตูดิโอที่ดีที่สุด บางสตูดิโอเป็นเอาต์ซอร์สให้กับพิกซาร์สตูดิโอ ทำแอนิเมชั่นโดยมีแรงบันดาลใจจากสุนัขทรงเลี้ยงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อยากทำเพื่อสอนเรื่องความกตัญญูรู้คุณ ความซื่อสัตย์ให้กับเด็กๆ” และอีกโปรเจกต์เป็นไลฟ์ แอนด์ ซาวด์ โชว์ เพื่อเปิดตลาดเออีซี
ในฐานะผู้บริหาร วินิจ บอกว่า เขาบริหารแบบไม่มีลูกน้อง “คนทำงานเป็นเพื่อนของผม บางคนเปิดบริษัทของตัวเองไปด้วย ผมก็ไปช่วยลงทุนเพิ่ม ถ้าเป็นที่อื่นก็อาจโดนไล่ออก พนักงานถึงไม่มีวันลาออกจากผม เพราะว่าเขาไม่ได้เป็นลูกจ้างผม ... ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นนักบริหารที่ดีนะ ผมบริหารเหมือนกับไม่ได้บริหาร”
เขาเป็นคนมุ่งมั่นและเด็ดขาดในเรื่องงาน “ถ้าตัดสินใจจะทำอะไรก็ทำเลย เดินหน้าอย่างเดียว น้อยมากที่จะถอยกลับหรือล้มเลิก รู้ว่าจะเสียหายก็ต้องเสียหาย เพราะ Commitment และความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญ เราให้สัญญาไปแล้วทำไม่ได้ก็ขาดความน่าเชื่อถือ ก่อนหน้าที่จะตัดสินใจทำ ผมคิดว่าผมทำได้ ถึงเดินไป”
ในวัย 54 ปี วินิจ เลิศรัตนชัย ไม่มีวันทำงานหรือวันหยุดแน่นอน แต่ก็ยังรักษาสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวได้ “ผมไม่ได้รู้สึกว่าทำงาน มันเหมือนเป็นชีวิตประจำวัน มีเวลาพักแบ่งให้ลูกให้ครอบครัวให้ตัวเอง” ที่สำคัญคือ มีเวลาสำหรับคิดเพื่อที่จะสร้าง “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” อีกครั้ง


