3 เก๋าเล่าความหลัง...บอลไทยจะไปบอลโลก (ชาตินี้)
ฟุตบอลไทยจะไปฟุตบอลโลก เป็นคำพูดที่ถูกกรอกหูมานาน เมื่อรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกมาถึง
โดย...ราชันเบอร์ 23
ฟุตบอลไทยจะไปฟุตบอลโลก เป็นคำพูดที่ถูกกรอกหูมานาน เมื่อรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกมาถึง เชื่อว่าแฟนบอลชาวไทยคิดว่าสักครั้งในชีวิตอยากเห็นธงไตรรงค์ไปโบกสะบัดในเวทีระดับโลก และความฝันของชาวไทยก็เป็นจริง เมื่อทีมฟุตบอลสาวไทยสามารถผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลหญิงชิงแชมป์โลก 2015 ที่แคนาดาในปีนี้
สัปดาห์นี้ ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลชุดอายุไม่เกิน 23 ปี (ชุดปรีโอลิมปิก) เพื่อหาตัวแทน 3 ประเทศ เข้าไปเล่นรอบสุดท้ายโอลิมปิกเกมส์ ที่รีโอเดจาเนโร บราซิล ปีหน้า
แฟนฟุตบอลหลายคนอาจไม่ทราบว่า “ทีมชาติไทย” เคยไปเตะฟุตบอลโอลิมปิกเกมส์มาแล้ว แต่ต้องย้อนไปสักเกือบ 50 ปี เมื่อครั้งโอลิมปิกเกมส์ครั้งที่ 19 ปี 1968 (พ.ศ. 2511) จัดขึ้นที่เมืองเม็กซิโก ซิตี้ ประเทศเม็กซิโก ครั้งนั้นทีมตัวแทนจากลุ่มน้ำเจ้าพระยาสามารถผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายได้สำเร็จ
ชื่อของ “น้าหลิม” ร.ต.ต.เกรียงศักดิ์ วิมลเศรษฐ์ เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงกีฬา โดยเฉพาะฟุตบอลที่ถือว่าถูกจัดอยู่ในทำเนียบนักเตะชุดประวัติศาสตร์ เพราะเป็นหนึ่งในแข้งที่ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ เดินทางไปแข่งขันฟุตบอลโอลิมปิก ครั้งที่ 19 ที่ประเทศเม็กซิโก อีกทั้งยังเป็นผู้ซัดประตูชัยให้ทีมชาติไทย เขี่ยคู่แข่งอย่างอิหร่านที่ถือว่าเป็นต่อเหนือกว่าทีมชาติไทยหลายขุม ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์แห่งเอเชีย ครั้งที่ 11 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในปี 2512 ก่อนที่จะได้ครองแชมป์ร่วมกับพม่าอย่างยิ่งใหญ่
"ผมเริ่มจากเป็นเด็กเก็บบอล ตามรุ่นพี่ไปเล่นแถวสนามหลวง เนื่องจากบ้านอยู่แถว ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และได้มีโอกาสฝึกทักษะฟุตบอลกับอาจารย์สำเริง ไชยยงค์ ที่เพิ่งกลับจากเยอรมนี จนฝีเท้าพัฒนา ก่อนที่จะถูก สราวุธ ประทีปากรชัย ที่เล่นให้กับทีมศุลกากร สมัยนั้นเห็นแววดี เลยชักชวนให้มาร่วมฝึกซ้อมด้วยที่สโมสร ซึ่งถือว่าเป็นก้าวแรกที่จุดประกายให้เกิดดาวดวงใหม่ในวงการฟุตบอลเมืองไทย" น้าหลิมของน้องๆ เริ่มสาธยาย
หลังจากนั้นเจ้าของฉายา “จอมลักไก่” เล่าถึงที่มาก่อนที่จะติดธงไตรรงค์ที่หน้าอก ถือเป็นความภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต
“ผมต้องไปคัดกับรุ่นพี่ ตอนแรกผมกล้าๆ กลัวๆ เหมือนกัน เพราะอายุเพิ่งจะ 17 ปี ยังเกรงบารมีพวกรุ่นพี่ๆ แต่ด้วยใจที่เกินร้อย และรักการเล่นฟุตบอลจนแทบจะเรียกว่าเรียนเป็นรองไปเลย ผมจึงเดินหน้าชน เพราะถือว่าเราเองก็มีดีเหมือนกัน ลองดูคงไม่เสียหาย ตอนนั้นมีเด็กมาคัดเป็นร้อยคน จากทุกสโมสร รวมถึงเด็กต่างจังหวัด ใช้เวลาคัดกันร่วมเดือน ค่อยๆ กรองออกเรื่อยๆ โดยมีทาง พล.อ.ประเทียบ เทศวิศาล เป็นโค้ช สุดท้ายผมก็ได้เป็นหนึ่งในนั้น เรียกว่าดีใจสุดๆ ได้ติดธง ซึ่งยุคนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบาก เพราะนักเตะแต่ละคนฝีเท้าดี มีความแข็งแกร่งทั้งสิ้น สู้กันแบบใครมีดีก็ต้องงัดออกมาให้หมด กว่าจะติดทีมและติดแล้วถ้าไม่ขาหักหรือเจ็บจนเล่นไม่ได้ ไม่มีคำว่าถอยหลัง ถอนตัวเหมือนยุคนี้แน่นอน เพราะการติดทีมชาติถือเป็นเกียรติยศที่น่าภาคภูมิใจมาก ทั้งที่รู้ว่าไม่มีเงินเดือนหรือโบนัสแข่งมากมายเหมือนยุคนี้ แต่ทุกคนเล่นด้วยหัวใจ”
หลังจากติดทีมมีชื่อทีมชาติไทยชุดเยาวชนอายุไม่เกิน 20 ปี ด้วยวัยเพียง 19 ปีเท่านั้น “น้าหลิม” ได้เล่าถึงความยากลำบากถึงการฝึกซ้อมหนักและค่าตอบแทนที่ได้รับเรียกว่าหากมาใช้กับยุคปัจจุบัน นักเตะหลายคนคงจะถอดใจเดินออกจากแคมป์
“ยุคนั้นไม่มีโรงแรมดีๆ หรือแคมป์ ที่นอนห้องแอร์ เราเก็บตัวอยู่ใต้ถุนสนามศุภชลาศัย พัดลมเพดาน เบี้ยเลี้ยงวันละ 5 บาท เงินเดือนไม่มี บางวันมี แถมนมข้นหวานให้กระป๋อง ซึ่งพวกผมเอาไปแลกมาเป็นเงิน และนำไปซื้อข้าวกิน ยุคนั้นเรียกว่าระเบียบวินัยต้องเป๊ะ ทุกคนต้องดูแลตัวเองและตั้งใจฝึกซ้อมหนัก เราซ้อมกันวันละ 5 ชั่วโมง ทุกวัน เรื่องของบุหรี่ เหล้า การเที่ยวเตร่ ไม่ต้องเอ่ยถึง ไม่มีแน่นอน ที่สำคัญ เรื่องของเวลาต้องตรง เพราะ พล.อ.ประเทียบ เป็นคนมีระเบียบวินัยมาก คุมกันแบบทหาร ทำให้ทุกคนอยู่ในกรอบ ซึ่งผมภูมิใจมาถึงทุกวัน ทำให้ชีวิตของเรามีกรอบ มีระเบียบวินัยโดยไม่รู้ตัว ผมต้องขอบคุณที่มีวันนั้น การซ้อมเราก็วิ่งกันวันละไม่รู้กี่เที่ยว ซ้อมเทคนิคต่างๆ กลางแจ้ง แดดร้อนเปรี้ยงๆ แต่ห้ามทานน้ำ ทั้งที่เห็นถังน้ำ ตั้งอยู่กินไม่ได้ มันทรมานมาก ทว่ามันทำให้พวกผมแกร่งและฟิตมากเมื่อลงสนาม เรียกว่าวิ่งไม่มีหมด ไม่สิ้นเสียงนกหวีดทาง พล.อ.ประเทียบ บอกว่าห้ามหยุดวิ่ง ซึ่งเราทุกคนก็พร้อมวิ่งและทุ่มเทเต็มที่เมื่อลงสนาม” น้าหลิม วัย 77 ปี เล่าย้อนอดีตอย่างมีความสุข
แมตช์ที่ประทับใจไม่มีวันลืมคือมีโอกาสได้เป็นตัวแทนประเทศไทย ไปเล่นฟุตบอลโอลิมปิกรอบสุดท้าย ที่เม็กซิโก ปี 1968
"เราได้เป็นตัวแทนทีมของชาวเอเชียที่ได้ไปเล่นโอลิมปิก ถือเป็นชุดประวัติศาสตร์ ผมจำไม่ได้ว่าแพ้ทีมอะไรบ้าง แต่เราแพ้ทุกนัด แต่ความพ่ายแพ้มันไม่ได้เลวร้ายซะทุกอย่าง อย่างน้อยเราก็ได้ทำให้ประวัติศาสตร์ได้จารึกว่าครั้งหนึ่งธงชาติไทยก็เคยไปโบกสะบัดในสังเวียนแข้งระดับโลกมาแล้ว"
สุดท้าย “น้าหลิม” ได้ฝากข้อคิดให้กับนักเตะรุ่นหลัง ที่หวังใช้ฟุตบอลเป็นอาชีพในยุคที่ฟุตบอลไทยฟีเวอร์ ว่า ฟุตบอลเป็นเกมกีฬาที่สร้างมิตรภาพ และต้องเล่นด้วยหัวใจ
"ยุคก่อนเงินเดือนเบี้ยเลี้ยง โบนัสไม่มี แต่ทุกคนก็วิ่งจนวินาทีสุดท้าย สู้กันอย่างมีน้ำใจนักกีฬา ยิ่งทีมชาติด้วยแล้ว คือความใฝ่ฝันอันสูงสุด ความภาคภูมิใจ และพร้อมที่จะเล่นอย่างเต็มที่ ทุ่มสุดตัว ไม่มีคำว่าถอนตัวแน่นอน ในยุคที่ฟุตบอลไทยกำลังเฟื่องฟู ผมอยากให้น้องๆ หลานๆ เล่นฟุตบอลด้วยหัวใจ โดยเฉพาะกับทีมชาติ เพราะนั่นคือความสุขของประชาชนและชื่อเสียงทั้งประเทศ ในเมื่อวันนี้เรามีโอกาสที่จะเป็นนักเตะ ขอให้เป็นนักเตะที่ดีทั้งในและนอกสนาม มีระเบียบวินัยและซื่อสัตย์ต่ออาชีพการเล่นฟุตบอลของตัวเอง ผมเชื่อว่าชาตินี้บอลไทยสู้ได้กับทุกชาติในโลก" น้าหลิม ให้ข้อคิดทิ้งท้าย
"ฟุตบอลไทยจะไปบอลโลกเหรอ? ผมว่าเป็นไปได้นะ เพราะว่าทีมชาติไทยชุดนี้พร้อมกว่าทุกชุดที่ผ่านมา ทั้งเรื่องโค้ช นักเตะ และเรื่องงบประมาณเงินอัดฉีด" เป็นประโยคที่คุณลุง “แสวง เขมทัต” หรือที่คนวงการลูกหนังไทยคุ้นหูในนาม แสวง แฉ่งชื่น ตอบคำถามเชิงทักทาย
แฟนบอลรุ่นใหม่อาจจะไม่รู้จัก แต่ถ้าเป็นแฟนบอลรุ่นเก่าคงรู้จักดีกับกองหน้าที่ดีที่สุดแห่งยุคนั้น คุณลุงเป็นชาวกรุงเทพฯ โดยกำเนิด บ้านอยู่แถวบางซื่อ เกิดในฐานะครอบครัวยากจน มีพี่น้องทั้งหมด 6 คน คุณลุงเป็นลูกชายคนเดียว ส่วนที่เหลืออีก 5 คนเป็นผู้หญิงทั้งหมด ด้วยความที่เกิดเป็นลูกผู้ชาย ย่อมมีใจรักในกีฬาเป็นชีวิตจิตใจ ครั้งที่ยังเป็นเด็กอยู่ที่บางซื่อ ด.ช.แสวง มักจะแอบไปดูฟุตบอลที่คนแถวบ้านเตะกัน บ้างก็ไปยืนดูอยู่หลังประตู บ้างก็ไปขอเก็บลูกบอลบ้าง จนได้ซึมซับบรรยากาศไปในตัว
“ผมก็เหมือนผู้ชายทั่วๆ ไปที่ชอบกีฬา ไม่ใช่ชอบธรรมดา แต่ชอบมากๆ สมัยก่อนไม่ค่อยมีสนามฟุตบอล ผมยังเด็กอยู่ ได้แต่ไปดูพี่ๆ เขาเตะฟุตบอลกัน เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรเรา ไปเก็บลูกให้เขาบ้าง ไปยืนดูอยู่หลังโกลบ้าง บางทีก็อยากเล่น แต่เขาไม่ให้เล่น เราก็ต้องทนไป”
กระทั่งถึงช่วงเวลาที่ทำให้ “คุณลุงแสวง” แจ้งเกิดในวงการลูกหนังไทยกับการเล่นฟุตบอลเยาวชน ถ้วยทองของทีมชาติไทยสู้ศึกฟุตบอลเยาวชนที่มาเลเซีย
“ผมเล่นเยาวชนทีมถ้วยทองไปแข่งขันที่มาเลเซีย ซึ่งถือเป็นรายการที่ประทับใจมาก ครั้งแรกทีมชาติไทยเล่นกลุ่มถ้วยทองและได้แชมป์ ส่วนหนที่สองเล่นในกลุ่มถ้วยเงิน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่เป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือนได้ ผมเป็นนักเตะอายุน้อย เหมือนเป็นรุ่นน้องในทีมชาติ นักเตะรุ่นพี่ก็แนะนำวิธีการเล่นต่างๆ ให้ผมเป็นอย่างดี”
แต่รายการที่กลายเป็นรายการแห่งเกียรติยศของเจ้าตัว คือ การแข่งขันฟุตบอลโอลิมปิกเกมส์ รอบคัดเลือกโซนเอเชีย ที่ต้องเล่นในระบบเหย้า-เยือน กับไต้หวัน ซึ่งทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว คุณลุงถูกสื่อมวลชนตั้งฉายาให้เป็น “แสวงจอมวอลเลย์” ด้วยเหตุที่ท่วงท่าในการทำประตูส่วนใหญ่มาจากลูกวอลเลย์
“ผมดีใจที่ถูกตั้งฉายาให้เป็นแสวงจอมวอลเลย์ เพราะประตูที่ผมทำได้ ส่วนใหญ่มาจากการวอลเลย์แทบทั้งสิ้น ผมยิงลูกธรรมดาไม่ค่อยเป็น มันเหมือนเป็นสัญชาตญาณของผม เหมือนว่าต้องยิงลูกพิสดาร มันเป็นสายเลือดที่เกิดมาแล้วชอบกีฬาเป็นชีวิตจิตใจ รู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้รับฉายานี้” คุณลุงพูดพลางหัวเราะ
แมตช์ที่ประทับใจเป็นเกมที่พบกับไต้หวัน เรื่องแพ้ชนะไม่ใช่สิ่งสำคัญ มันเป็นกีฬา แต่สิ่งที่ยังไม่ลืมจนถึงวันนี้คือได้ถ่ายรูปกับเจียงไคเชก อดีตประธานาธิบดีไต้หวัน
“เป็นอะไรที่บอกไม่ถูกเลย ผมตื่นเต้นมากที่ได้เข้าพบท่านเจียงไคเชก และทีมชาติไทยก็ได้ร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึก แต่ในช่วงที่ถ่ายภาพเจ้าหน้าที่ให้นักเตะทีมชาติไทยทุกคนวางมือไว้ข้างหน้า และต้องเห็นมือของนักเตะทีมชาติไทยทุกคนก่อนที่จะกดชัตเตอร์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการลอบสังหาร ช่วงนั้นไม่มีใครได้พบกับท่านเจียงไคเชกมากเท่าไหร่นัก เพราะเขาป้องกันการลอบสังหาร แต่ทีมชาติไทยก็ถือว่าโชคดีที่ได้เข้าพบ”
มองทีมชาติไทยยุคหลานว่ามีโอกาสมากกว่านักฟุตบอลรุ่นก่อน ทั้งเรื่องเงินทองและชื่อเสียง
“เสียดายผมเกิดเร็วไป ไม่งั้น ‘มุ้ย’ ธีรศิลป์ แดงดา คงไม่ได้เกิด ทุกวันนี้เล่นฟุตบอล เลี้ยงชีพได้ สมัยก่อนติดทีมชาติ มันเป็นความภาคภูมิใจ มีข้าวกิน มีที่พัก โอเคแล้ว เรื่องเงินไม่ต้องมาพูดถึง สิ่งที่อยากเตือนนักเตะรุ่นน้อง ไม่อยากให้ลืมตัว และต้องทุ่มเทเพื่อชาติ ไม่ใช่เพื่อเงินเพียงอย่างเดียว ชาติต้องมาอันดับแรก”
ฟุตบอลไทยยุคนี้ ฝีเท้าไม่แพ้ชาติใดในโลก อยู่ที่ว่าคุณเล่นด้วยหัวใจหรือไม่?
ปิดท้ายที่ “ป๋าเล็ก” ชลอ สัตยาลักษณ์ หนึ่งในผู้เล่นทีมชาติไทยชุดเยาวชนถ้วยทองทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี ที่ไปแข่งขันที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อปี 2501 ปัจจุบันอายุ 77 ปี แต่ความทรงจำยังสุดยอด ชนิดที่คนรุ่นใหม่ยังต้องอายม้วน มีความฝันอยากเห็น “ช้างศึก” ไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
“ผมเป็นคนกรุงเทพฯ เป็นลูกคนสุดท้องของครอบครัว ที่บ้านไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร ตอนเด็กๆ ไม่รู้เป็นอะไร กีฬาที่ชอบมากในตอนนั้นคือการชกมวย ไม่ชอบอย่างอื่นเลยนอกจากการต่อยมวยเท่านั้น”
ไม่อยากจะเชื่อ...ก่อนที่จะมาเป็น “ชลอ สัตยาลักษณ์” นักเตะทีมชาติไทย “ป๋าเล็ก” เคยขึ้นเวทีชกมวยมาก่อน!!!
“ทีแรกต่อยมวยเข้าค่ายซ้อมทั่วๆ ไป ก่อนที่จะมาเอาจริงเอาจังตอนเรียนอยู่มัธยมศึกษาตอนต้น โดยไปต่อยมวยที่ อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ครั้งนั้นถือเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมชกมวย เหตุที่เป็นครั้งสุดท้ายก็เพราะการเดินทางไปชกในครั้งนั้นคุณพ่อและคุณแม่ของผมเป็นห่วงมาก กลับมาเขาไม่อยากให้ชกอีก และบอกให้เปลี่ยนไปเล่นกีฬาอย่างอื่น ผมตัดสินใจเชื่อคำบอกของพ่อและแม่ เลยเลิกชกมวยและหันมาเล่นฟุตบอลแทน”
ผ่านเวทีเยาวชนเพื่อบ่มกระดูกให้แข็งแกร่ง หลังจากนั้นก็ก้าวขึ้นมาสู่ทีมชาติไทยชุดใหญ่ ผ่านเวทีใหญ่อย่างต่อเนื่อง เริ่มจากทีมชาติไทยชุดลุยศึกกีฬาแหลมทองครั้งที่ 1 (ปัจจุบันคือซีเกมส์) กีฬาโอลิมปิกรอบคัดเลือกโซนเอเชียกับทีมชาติไต้หวัน มาเลเซีย รวมถึงเกาหลีเหนือ ฟุตบอลสโมสรเอเชีย ทีมชาติไทยชุดชิงแชมป์เอเชีย ฟุตบอลเมอร์เดก้า ที่ประเทศมาเลเซีย ฟุตบอลชิงแชมป์เอเชียที่ประเทศเวียดนาม รวมถึงการเดินทางไปฝึกฟุตบอลที่ 3 ประเทศยุโรป ทั้ง เยอรมนี นอร์เวย์ และอิสราเอล ส่วนรายการฟุตบอลชิงแชมป์เอเชียที่ฮ่องกง ปี 1956 ซึ่งถือเป็นรายการแรกที่เอเอฟซีให้การรับรอง แต่ถือเป็นรายการสุดท้ายที่เล่นให้กับทีมชาติไทย
“ผมบอกเลยว่าการจะติดทีมชาติไทยในสมัยก่อนยากเหลือเกิน เพราะถ้าคุณไม่โดดเด่นจริง ไม่เก่งจริง งัดความสามารถออกมาไม่ได้ ก็คงไม่มีโอกาสได้ติด ผมอาศัยที่ผมวิ่งเร็ว ไม่หวงบอล และมักจะเปิดบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูอยู่ตลอด ที่ผมยังจำได้คือผมมักจะโยนบอลจากซ้ายไปใส่หัว ยรรยง ณ หนองคาย คอยทำประตูด้วยการโหม่งตลอด ผมเลี้ยงบอลเก่ง และผมก็ยังเคยเลี้ยงบอลจากครึ่งสนามเลี้ยงเข้าประตูมาแล้วยังเคยเลยครับในการแข่งขันระดับเยาวชนทีมชาติไทย ฟุตบอลสำหรับผมคือสิ่งที่สวยงาม และให้ทุกอย่างกับผมจนถึงทุกวันนี้”
ฉายา “ปีกซ้ายลมกรด” ชลอ สัตยาลักษณ์ ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ฝีมือล้วนๆ คุณลุงชลอตัดสินใจเลิกเล่นฟุตบอลอย่างเป็นทางการ เนื่องจากมีโอกาสได้เข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมธนาคารกรุงเทพและแขวนสตั๊ดไปในที่สุด
“เด็กสมัยนี้โชคดี มีเบี้ยเลี้ยงซ้อม มีเงินเดือน สมัยก่อนเล่นด้วยใจอย่างเดียว ต้องหิ้วสตั๊ดขึ้นรถเมล์ ซ้อมเสร็จก็ขึ้นรถกลับบ้าน กลับหอพัก บางทีไม่ได้อาบน้ำด้วยซ้ำ เพราะถ้ามัวอาบน้ำอาจจะตกรถเมล์ได้ แต่ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้ไปวิ่งในสนามฟุตบอล ผมถามเพื่อนๆ สมัยนั้นก็คิดแบบเดียวกัน อยากให้นักฟุตบอลสมัยนี้คิดถึงธงไตรรงค์ที่ติดอยู่ตรงหน้าอก มันยิ่งใหญ่ มีค่ามากกว่าเงินทองเสียด้วยซ้ำ ปัจจัยทุกอย่างมันเอื้อเหลือเกิน พวกคุณเล่นฟุตบอลเป็นอาชีพ ผมเข้าใจ แต่คุณต้องตอบแทนผืนแผ่นดินที่คุณอยู่ คุณมีโอกาสดีกว่าหลายๆ คนที่พวกเขา แค่คิดยังไม่มีโอกาสเลย พวกคุณต้องทุ่มเทและเต็มที่ทุกครั้งเวลาที่สวมเสื้อทีมชาติไทย ผมคิดว่าชาตินี้แหละ ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า ฟุตบอลไทยได้ไปฟุตบอลโลกแน่ อยู่ที่พวกคุณต้องคิดถึงชาติ ก่อนสิ่งอื่นใด ผมเชื่อมั่นในตัวพวกคุณ หากทีมไทยได้ไปบอลโลก ถึงเวลานั้นผมคงไม่ได้อยู่ร่วมแสดงความยินดี หวังว่าพวกคุณคงทำให้คนไทยมีความสุข” ป๋าเล็ก กล่าวทิ้งท้าย
เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด หากปฏิบัติได้ตามคำสอนของผู้ที่ขึ้นชื่อว่าอาบน้ำร้อนมาก่อน เชื่อว่าสักวัน “ช้างศึก” ต้องไปถึงฝั่งฝัน!!!


