posttoday

ทำไมต้อง 'อุโมงค์ต้นไม้น่าน'

15 มีนาคม 2558

แปลกดีนะคะ เวลาที่เราคิดว่าเรายุ่งที่สุดและไม่มีเวลาเหลือให้เรื่องอะไรอีกแม้แต่เรื่องเดียว

โดย...หนูดี - วนิษา เรซ ภาพ ระรินธร เพ็ชรเจริญ

แปลกดีนะคะ เวลาที่เราคิดว่าเรายุ่งที่สุดและไม่มีเวลาเหลือให้เรื่องอะไรอีกแม้แต่เรื่องเดียว แต่ในความยุ่งเหลือเกินนั้น หากมีสิ่งที่สำคัญโผล่ขึ้นมา เราก็จะพบว่า เรามีเวลาว่างผุดขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์เช่นกัน

เดือน มี.ค.นี้ เป็นเดือนที่หนูดีเองจัดงานลงไว้แน่นทุกวัน จนไม่เหลือเวลาแม้กระทั่งจะทำอาหารโฮมเมดรับประทานเองตลอดเดือนอย่างที่ทำได้ในหลายปีที่ผ่านมา ทั้งเดินทางขึ้นไปทำงานบรรยายที่พะเยา ไปเยี่ยมมูลนิธิของตัวเองที่เชียงใหม่ เพื่อตรวจสอบโครงการอาหารเช้า (กราบขอบพระคุณแฟนๆ คอลัมน์ที่ช่วยสนับสนุนโครงการอาหารเช้าเด็กยากไร้ของมูลนิธิมหาสมุทรแห่งปัญญาค่ะ ขณะนี้รวบรวมเงินได้ถึง 5 หมื่นบาทแล้ว เด็กๆ อิ่มท้องอย่างมีคุณภาพขึ้นแน่นอน ใครสนใจร่วมบุญ ดูได้ที่ www.oceanwis.org นะคะ) รวมถึงทำโรงเรียนสองโรงเรียน รายการโทรทัศน์ต่างๆ แถมจะออกหนังสือเล่มใหม่อีกด้วย เห็นตารางตัวเองที่วางไว้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วและคิดกับตัวเองว่า เดือน มี.ค.ปีนี้เหนื่อยแน่ๆห้ามเริ่มโปรเจกต์อะไรใหม่เด็ดขาด

แต่ในที่สุด หนูดีก็ได้พบกับสัจธรรมฝรั่งที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ ว่า If something is important to you, you will find time forit. (ถ้าสิ่งไหนมีความสำคัญกับคุณ คุณจะหาเวลาให้มันจนได้) เมื่อมาเจอเรื่อง “การตัดอุโมงค์ต้นไม้ประวัติศาสตร์เมืองน่าน ในการขยายทางหลวงหมายเลข 1080”

ภายในเวลาไม่เกิน 5 นาที ที่ได้รับทราบข่าวนี้ เรื่องนี้สามารถแทรกทุกงานของหนูดีขึ้นมาเป็น “ความเร่งด่วนอันดับหนึ่ง” แบบทิ้งห่างงานอื่นๆ ไม่เห็นฝุ่น

เหตุผล : เพราะหนูดีรักน่านและรักต้นไม้ใหญ่ทุกต้นในน่าน และทุกต้นในประเทศไทยของเรา

เราไม่ควรใช้คำว่า “พัฒนา” มาบังหน้าการตดั ไม้ใหญ่อกี ตอ่ ไป โดยเราควรดบู รรทัดฐานที่ประเทศพัฒนาแล้วรักและดูแลต้นไม้ใหญ่ของเขาจะดีกว่า

น่านเป็นเมืองเล็กอีกแค่ไม่กี่เมืองในประเทศไทยของเราและในโลกใบนี้ที่ยังคงพยายามรักษาวัฒนธรรมท้องถิ่นและเอกลักษณ์เอาไว้สุดความสามารถ ท่ามกลางกระแสที่
เชี่ยวกรากที่เรียกร้องให้ทุกเมืองเล็กทำการก๊อบปี้เมืองใหญ่และทำลายวัฒนธรรมพื้นถิ่นดั้งเดิมของตัวเอง

มันไม่ง่ายเลยนะคะ ในการจะพยายามสู้เพื่อปกป้องสิ่งเดิมดีงามที่มีอยู่และให้การพัฒนารวมถึงการเพิ่มรายได้และคุณภาพชีวิตประชากรเดินไปพร้อมๆ กัน เพราะคนเมืองหลวงย่อมอยากให้เก็บสิ่งดั้งเดิมไว้ ในขณะที่คนพื้นที่เองก็ตนื่ เต้นและรอคอย “การพัฒนา” ห ลายคนก็อยากมีเงินมากขึ้นแม้จะต้อง “แลก” กับที่ดินต้นไม้ใหญ่ และการที่น้ำต้องท่วมเมืองแทบทุกปีเพราะภูเขาหัวโล้นเกือบหมดแล้ว เพราะตัดไม้ใหญ่ไปปลูกข้าวโพด

โจทย์คือ ทำอย่างไรประเทศไทยของเราจะทำได้แบบญี่ปุ่นหรือภูฏาน ที่รักษาเมืองเล็กไว้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสูงค่า ไม่กลายเป็นที่พักราคาถูกหรือแค่เมืองผ่าน หรือเมืองก๊อบปี้ที่ไม่มีอะไรนอกจากร้านกาแฟแนวๆ และร้านอาหารชิกๆ ที่เหมือนกันทุกๆ ที่ที่เราไป

นาทีนี้กลุ่มเอกชนและอาสาสมัครหลายภาคส่วนได้ตื่นตัวขึ้นมาและระดมกันทำแคมเปญรณรงค์เพื่อขอให้กรมทางหลวงคิดใหม่กับการตัดอุโมงค์ต้นไม้เมืองน่านเพื่อขยายไหล่ทาง โดยมีแคมเปญหลักของกลุ่มBig Trees อยู่ที่ www.change.org ซึ่งในขณะที่เขียนต้นฉบับนี้ มีผู้ร่วมสนับสนุนถึง5.9 หมื่นคนแล้ว โดยหากท่านใดอยากร่วมสนับสนุนยังร่วมลงชื่อได้ เพื่อแสดงพลังให้ภาครัฐเห็นว่า คนไทยอีกจำนวนมากไม่สนับสนุนการตัดไม้ใหญ่โดยไม่ฟังทางเลือกอื่นๆ จากประชาชน และหากต้องตัดจริงๆขอให้เป็นทางเลือกสุดท้าย

อุโมงค์ต้นไม้แห่งนี้เคยมีความยาวเกือบสิบกิโลเมตร ประกอบด้วยต้นไม้หลากหลายสายพันธ์ุอายุนับร้อยปี ทั้งต้นสักขนาดใหญ่ต้นมะค่าโมง ต้นมะกอก แคป่า จามจุรีกระท้อน กระพี้จั่น ฯลฯ หนูดีเองเคยขับรถลอดใต้อุโมงค์นี้และรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในหนัง Avatar เพราะแสงที่ลอดลงมาและสีเขียวที่อยู่เหนือศีรษะเราขึ้นไปมันช่างเหมือนแม่กำลังอุ้มลูกน้อยอยู่เลยค่ะ หนูดีไปมาหลายที่ในโลก...ยากจะเห็นสิ่งที่สวยงามขนาดนี้ แต่ตอนนี้จาก 10 กม. เหลือเพียงไม่ถึง 2 กม. เท่านั้น! เส้นทางที่ร่มรื่นกลายเป็นร้อนแดดและฝุ่นถนนดิน

ถามว่า ไม้เหล่านี้นอกจากสวยงามแล้ว เขามีคุณค่าอะไรอีก ตอบง่ายๆ ว่า “ราคา” ไงคะ

จากกลุ่มอาสาสมัครคนน่านที่ลงพื้นที่จริงเมื่อวันที่ 10/03/2558 เพื่อสำรวจและนับต้นไม้เพื่อทำ Info graphic พบว่าในการขยายไหล่ทาง 1.5 เมตร เพียง 6 กม. ในเขตอุโมงค์ต้นไม้เราจะสูญเสียไม้ใหญ่ถึง 2,700 ต้น หากเราโค่นพวกเขาลงมา ทีมงานในพื้นที่นับต้นสักอายุนับร้อยปีได้ 193 ต้น ซึ่งเมื่อแปรรูปแล้วมีมูลค่าต้นละประมาณ 1.1 แสนบาท รวมทั้งหมดเป็นมูลค่า 212.3 ล้านบาท นี่เพียงต้นสักเท่านั้นนะคะ ยังไมร่ วมไม้เศรษฐกิจอนื่ ๆที่หากรวมการขยายทางหลวงเส้นนี้ที่ตั้งไว้138 กม. จะมีมูลค่าของไม้แปรรูปนับพันล้านบาท การล้อมย้ายทำไม่ได้ทุกต้น เพราะต้นไม้จะตายเป็นจำนวนมาก รวมถึงการที่มีการ “บาก”เปลือกไม้ออกเพื่อ Run code

ทราบไหมคะว่า การ “บาก” เปลือกไม้ออกนั้น คือการ “ประหาร” ต้นไม้อย่างเลือดเย็นที่สุด เพราะเขาจะยืนต้นตาย เพราะน้ำเลี้ยงไม่สามารถส่งไปยังส่วนต่างๆ ได้ นี่อาจเป็นอีกหนึ่งวิธีในการแสดงว่า “ล้อมย้ายแล้วตาย” นำไปสู่การแปรรูป ทั้งๆ ที่มันเป็นการวางแผนฆ่าล่วงหน้าแล้วหรือไม่

คำถามจากประชาชนจำนวนมากก็คือ“เงินจำนวนนี้...ไปไหน”

และมาสู่คำถามที่สำคัญที่สุด คือ “การขยายถนนช่วงนี้ จำเป็นแค่ไหน อย่างไร” อย่าบอกแค่ว่า “งบมาแล้ว” เลยต้องทำ

เพราะแม้ถนนที่กว้างขวางและปลอดภัยมีไหล่ทางที่ดีเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากในเชิงเศรษฐกิจของประเทศ แต่เราแลกมาเยอะแล้วไหมคะกับการตัดต้นไม้ใหญ่อย่างไม่บันยะบันยัง ดังนั้นก้าวต่อไปของเมืองไทยคงไม่ใช่การมุ่งตดั ตน้ ไม้ทุกต้นให้ราบคาบเวลาที่ถนนแล่นผ่านหรือเมืองขยายไป แต่เราควรทำให้ได้ทั้งคู่ คือ หาทางเก็บไม้ใหญ่ไว้และขยายเมืองอย่างมีสติ เพื่อให้เมืองไทยในยุคต่อไปไม่กลายเป็นเมืองร้อนแล้งที่ไม่เหลือไม้ใหญ่ไว้สำหรับลูกหลานอีกต่อไป

น่านเป็นแค่จุดเริ่มต้นของการอนุรักษ์ไม้ใหญ่ทั่วเมืองไทยของเรา

รักเมืองไทย ต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือนะคะ ประเทศของเราจะได้เขียวสวย ร่มรื่นตลอดไป

หนูดี-วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพปริญญาโทด้านสมอง และการเรียนรู้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐผู้ก่อตั้งบริษัท อัจฉริยะสร้างได้เจ้าของและผู้ออกแบบหลักสูตรพัฒนาอัจฉริยภาพโรงเรียนวนิษา www.mindbrainedu.com และ www.vanessa.ac.thติดตามหนูดีได้ที่ Facebook.com/mindbrain และ Instagram/Nudi_Vanessa

ข่าวล่าสุด

กต.ชี้ กัมพูชาปิดด่านห้ามคนไทยกลับประเทศขัดกฎหมายระหว่างประเทศ