ธนิสา วีระศักดิ์ศรี สร้างแบรนด์เครื่องประดับ อย่างมีเป้าหมาย
แบรนด์แมนเนเจอร์สาวสวยวัยใสแห่ง ระวิภา (Ravipa) แบรนด์เครื่องประดับฝีมือคนไทย
โดย...วราภรณ์ ภาพ:วิศิษฐ์ แถมเงิน
แบรนด์แมนเนเจอร์สาวสวยวัยใสแห่ง ระวิภา (Ravipa) แบรนด์เครื่องประดับฝีมือคนไทยที่เป็นการสร้างแบรนด์ระหว่าง ธนิสา วีระศักดิ์ศรี วัยเพียง 22 ปี กับพี่สาว ระวิภา วีระศักดิ์ศรี ผู้ศึกษาจบปริญญาโทด้านจิวเวลรี่ เมกกิ้ง จาก Revere Academy of Arts ซานฟรานซิสโก สหรัฐ มาผนึกกำลังกับน้องสาวที่ศึกษาจบปริญญาตรีหมาดๆ ด้านพาณิชยศาสตร์และการบัญชี หลักสูตรนานาชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ช่วยเสริมทัพดูแลด้านการวางแผนการตลาด มองหาช่องทางใหม่ๆ
จุดเริ่มต้นสร้างแบรนด์ด้วยการวางจำหน่าย “ออนไลน์ มาร์เก็ตติ้ง” ผ่านไอจี เพื่อลองผิดลองถูกตั้งแต่ธนิสายังเรียนอยู่ชั้นปีที่่่ 3 สู่การมีหน้าร้านของตนเองที่สยามพารากอนและเอ็มโพเรียม การถนัดไปคนละอย่างช่วยเติมเต็มช่องว่างของกันและกัน ทำให้แบรนด์น้องใหม่ก้าวสู่การนำแบรนด์ไปโชว์ในงานแฟร์ระดับอินเตอร์เนชั่นแนลที่เยอรมนี เร็วๆ นี้
แรงบันดาลใจสร้างแบรนด์ เกิดขณะที่พี่สาวเรียนจิวเวลรี่ เมกกิ้ง ที่ซานฟรานซิสโก มีแบรนด์เครื่องประดับชื่อดังของที่นั่นถูกใจในผลงานการออกแบบของพี่สาว ก็ให้ออกแบบเครื่องประดับให้ชิ้นหนึ่ง ได้เงินค่าออกแบบหลักหมื่น แต่ผลงานชิ้นนั้นก็ทำซ้ำๆ ขายได้ในจำนวนหลักล้านบาท ในฐานะที่ธนิสาเรียนด้านพาณิชยศาสตร์และการบัญชี คิดถึงค่าความคิดด้านงานออกแบบที่ได้ไม่เหมาะสมกับหลักความเป็นจริงเลย เธอจึงคิดว่าทำไมไม่ช่วยพี่สาวทำผลงานออกแบบเครื่องประดับให้เป็นธุรกิจมากขึ้น
เมื่อกลับมาเมืองไทยราวปี 2555 ธนิสาจึงช่วยพี่สาวทำแบรนด์เครื่องประดับอย่างจริงจัง โดยแบ่งหน้าที่คือพี่สาวดูด้านการออกแบบ เธอดูด้านการวางแผนการตลาด ดูเทรนด์แฟชั่น ควบงานประชาสัมพันธ์แบรนด์ไปด้วย นำข้อมูลไปบอกเล่าให้พี่สาวฟังเพื่องานออกแบบจะได้ตรงกับกลุ่มลูกค้าให้ได้มากที่สุด โดยก้าวแรกทำแบรนด์บนไอจีก่อน โดยไอจีของร้านลงภาพเรื่องราวไลฟ์สไตล์ของคนทำจิวเวลรี่ว่าใช้ชีวิตประจำอย่างไร ควบคู่กับการออกแบบเครื่องประดับโพสต์จำหน่ายผ่านไอจีไปด้วย
“พี่สาวถ่ายรูปแหวนแต่ละวงว่ากว่าจะเป็นแหวนมีวิธีการขึ้นวงอย่างไร ถ่ายรูปแล้วอัพลงไอจี สาก็มีหน้าที่ทำให้เพจนี้กลายเป็นหน้าร้าน” การกำหนดรูปแบบงานออกแบบเครื่องประดับให้มีซิกเนเจอร์เป็นของตัวเองเพื่อสื่อถึงแบรนด์ โดยดึงคาแรกเตอร์อุปนิสัยของพี่สาวที่เป็นคนมองโลกในแง่ดี จึงสร้างสรรค์ผลงานออกแบบแต่ในแง่บวก ไม่มีสัญลักษณ์หัวกะโหลก โครงกระดูก จนได้งานออกแบบแหวนที่สื่อความเป็นแบรนด์ คือ แหวนสัญลักษณ์อินฟินิตี้ มีความหมายดีๆ สื่อถึงความรักที่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ใช่แหวนที่ให้กันเฉพาะคู่รัก แต่เป็นแหวนที่ลูกซื้อให้พ่อแม่ได้ นี่คือแผนการตลาดของการสร้างแบรนด์ที่ธนิสาได้นำความรู้การสร้างแบรนด์ที่เรียนมาใช้งานได้จริง
“ความรู้ด้านการตลาด และการฟังคุณลุงผู้มีประสบการณ์การทำงานตลาดมากกว่า นำมาปรับให้เป็นตนเองมากที่สุด และพบว่าออนไลน์มาร์เก็ตติ้งเหมาะที่สุด เพราะเราไม่มีเวลาไปเฝ้าช็อป แล้วในที่สุดแหวนที่เป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์ก็โดนก๊อบปี้”
ถือเป็นก้าวแรกของอุปสรรคในการทำธุรกิจ แต่เธอมีวิธีแก้ก็คือ การคิดออกแบบสิ่งใหม่ๆ มาป้อนตลาดอยู่เสมอๆ และทำการประชาสัมพันธ์แบรนด์ควบคู่ไปด้วย รวมทั้งเพิ่มช่องทางต่างๆ ในการขายให้มากขึ้น ด้วยการนำสินค้าไปออกในงานแฟร์ต่างๆ รวมทั้งหมั่นส่งผลงานออกแบบเข้าประกวดในเวทีต่างๆ ทำให้ได้แสดงผลงานและได้รับเกียรติให้แสดงผลงานออกแบบเข็มกลัดรูปรถยนต์พระที่นั่งสมัยรัชกาลที่ 6 เป็นรูปรถโรลส์-รอยซ์ ให้ ปราจิน เอี่ยมลำเนา ในงานหัวหิน มอเตอร์ โมบิล ปี 2014 ประมูลเพื่อนำเงินทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รางวัลนี้ถือเป็นเกียรติประวัติของแบรนด์ เป็นการสร้างชื่อให้แบรนด์ระวิภาให้มีความน่าเชื่อถือ และเป็นหนทางพัฒนาแบรนด์ก้าวขึ้นสู่การเป็นแบรนด์ระดับพรีเมียมมากขึ้น
“การสร้างแบรนด์จำเป็นที่เราจะต้องทำแบรนดิ้งให้แน่นและมีความน่าเชื่อถือ อีกทั้งการกำหนดคอนเซ็ปต์งานออกแบบของแบรนด์ก็สำคัญ เช่น เราตีแบรนด์ระวิภา เป็นจิวเวลรี่ที่มีความหมายเกี่ยวกับความรักในแง่มุมต่างๆ เช่น รักระหว่างคนในครอบครัว พี่น้อง รักระหว่างแฟน และรักตัวเองยังได้ สำหรับคนที่ชอบแบรนด์เราเขาจะชอบงานออกแบบของเราอัตโนมัติ แต่คนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายก็จะไม่ชอบงานของเรา
สำหรับการทำงานด้านการออกแบบให้ง่ายขึ้น เรามองหารูปลักษณ์ของผู้หญิงระวิภา แล้วเราก็ได้คาแรกเตอร์ของพี่แต้ว (ณฐพร เตมีรักษ์) คือเป็นผู้หญิงอ่อนหวาน แคร์จิตใจผู้อื่น อ่อนหวานแต่ไม่อ่อนแอ เป็นเวิร์กกิ้ง วูแมน รักการเดินทาง ถ้าเราวางกลุ่มเป้าหมายชัดเจน เราจะรู้ว่ากลุ่มลูกค้าเราไม่ชอบเที่ยวผับ เราจึงสามารถออกแบบเครื่องประดับให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าเรา คือ ชอบท่องเที่ยว แต่งหน้าไม่จัด ไม่ปากแดง แต่งตัวเรียบง่าย ดังนั้นเครื่องประดับของเราชิ้นจะไม่ใหญ่ พี่แต้วก็เป็นลูกค้าของแบรนด์ ซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อน รวมทั้งคุณหนูนา-หนึ่งธิดา โสภณ ก็เคยสั่งแหวนและต่างหูผ่านไอจีของเรา จึงทำให้เรายิ่งมั่นใจว่าเรามาถูกทางแล้ว” และถือเป็นกำลังใจที่ระดับคนดังให้เกียรติมาเป็นลูกค้าแบรนด์ของเธอ
อีกอุปสรรคหนึ่งในฐานะเด็กรุ่นใหม่ที่มาทำธุรกิจของตนเอง นอกจากความเป็นเด็กที่ผู้ใหญ่อาจไม่รู้จัก และเกิดความไม่เชื่อถือในระยแรกแล้ว อุปสรรคข้อใหญ่ๆ ที่ต้องเผชิญคือ การโดนแอบอ้างภาพของร้านไปใช้ในไอจีแบรนด์คนอื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม
“ใครนำภาพเราไปใช้เราทำอะไรไม่ได้ แต่ลูกค้าแบรนด์เราหลายคนน่ารักมาก ไปโพสต์ลงในไอจีที่ก๊อบปี้งานเราไปว่า เจ้าของภาพจริงๆ เป็นแบรนด์เรา หรือมาโพสต์บอกเป็นเบาะแสว่า เราโดนเลียนแบบงานนะคะ ลูกค้าเราน่ารักมาก หรือเวลาเราไปออกร้านในงานแฟร์ต่างๆ พอลูกค้าประจำรู้ก็มีการส่งข้าวส่งน้ำ เพราะเขารู้ว่าเรายุ่งมาก ถือเป็นความประทับใจมากๆ”
3 ปี สำหรับการสร้างแบรนด์ของเด็กจบใหม่ๆ คือ ความภาคภูมิใจที่มีแบรนด์ประจำ ประสบความสำเร็จ เป็นที่รู้จักกว่าที่เคยตั้งเป้าหมายเอาไว้ ซึ่งคีย์แห่งความประสบความสำเร็จคือ ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ภาพสินค้าสวยอย่างไร ของจริงสวยและมีคุณภาพกว่าภาพที่โชว์เสมอ เพราะแต่ละขั้นตอนพี่สาวของเธอขึ้นรูปเองทุกชิ้น ประกอบกับใช้ฝีมือของช่างไทย ซึ่งได้ชื่อว่ามีความประณีตในงานศิลป์ อีกทั้งความรู้เรื่องงานออกแบบที่นักออกแบบมี จึงสามารถสื่อสารกับช่างได้เข้าใจตรงกัน สินค้าที่สั่งทำจึงสามารถทำได้สวยเหมือนกับแบบที่สั่งไปเกือบ 100%
สำหรับเป้าหมายการสร้างแบรนด์ ธนิสาตั้งเป้าไว้ว่า ก่อนเรียนจบปริญญาตรีเธออยากมีหน้าร้านเป็นของตัวเองในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ซึ่งในปี 2556 เธอก็สามารถทำได้สำเร็จ และมีสินค้าของแบรนด์ได้ลงแมกกาซีนชั้นนำบ้าง ซึ่งก็ได้ลงครีโอ แมกกาซีน และเดอะแมกกาซีน บางกอกโพสต์ เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งลงภาพสินค้าข้างๆ กับแบรนด์ชั้นนำระดับโลกอย่าง มิกิโมโต้ และแพนดอร่า ถือเป็นความภาคภูมิใจอีกก้าวหนึ่ง
“แค่ได้ลงนิตยสารชั้นนำหน้าเดียวกับที่ลงแบรนด์ระดับโลกก็ทำให้เราภูมิใจมาก เพราะเราก็วัยแค่ 22 เอง และยังได้มีหน้าร้านเป็นของตัวเอง ก้าวต่อไปเราตั้งใจไปทำตลาดที่เมืองนอก เช่น ไปออกงานแฟร์ที่มาเลเซีย สิงคโปร์ ซึ่งอยู่ในเอเชียใกล้ๆ ก่อน และประมาณกลาง มี.ค. ปีนี้ เราจะไปออกงานเทรดแฟร์ที่เยอรมนี
การก้าวสู่ตลาดต่างประเทศก็ด้วยความรู้ที่เรียนที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีิ สอนวิธีว่าทำอย่างไรให้ก้าวไปสู่ตลาดเมืองนอกได้ ทำให้เรารู้ว่ารสนิยมประเทศไหนเหมาะกับงานออกแบบของเรา แล้วเราก็ไปตลาดนั้น แม้จะมีงานออกแบบใหม่ๆ แต่เราก็ต้องยึดคอนเซ็ปต์ของแบรนด์เป็นหลัก ซึ่งสำคัญมากค่ะ”


