ภัททพล เงินศรีสุข กับนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ในใจ

โดย...พุสดี ภาพ เสกสรร โรจนเมธากุล

ในสายตาของใครหลายคน โค้ชเป้-ภัททพล เงินศรีสุข หนึ่งในโค้ชผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเมย์-รัชนก อินทนนท์ นักแบดมินตันดีกรีแชมป์โลกจากการแข่งขันเวิลด์แชมเปี้ยนชิพ ผู้สร้างประวัติศาสตร์แชมป์โลกแบดมินตันที่อายุน้อยที่สุด คือฮีโร่ของใครหลายคน แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่า คือในฐานะผู้ฝึกสอนแบดมินตันสโมสรบ้านทองหยอด ฮีโร่ของโค้ชเป้กลับไม่ใช่นักแบดมินตันดีกรีแชมป์โลกที่ไหน แต่โค้ชเป้ยกให้คุณพ่อคุณแม่ ผู้ก่อตั้งแบรนด์บ้านทองหยอด และปราโมทย์ ธีระวิวัฒน์ นักแบดมินตันทีมชาติไทยผู้ล่วงลับ

อยากรู้ว่าทำไมโค้ชเป้จึงยกให้บุคคลที่เปรียบเสมือนผู้ให้ชีวิต และผู้ให้แรงบันดาลใจในกีฬาแบดมินตัน เขามีคำอธิบาย

1.คุณพ่อคุณแม่ ‘ที่สุดแห่งผู้ที่ไม่ยอมแพ้ให้ความลำบาก’

โค้ชเป้บอกเล่าถึงความประทับใจที่มีต่อคุณพ่อ (ไพโรจน์ เงินศรีสุข) และคุณแม่ (กมลา ทองกร) ว่า ทั้งคู่เริ่มต้นชีวิตคู่จากฐานะทางการเงินที่เริ่มจากศูนย์ ในตอนเริ่มต้นคุณพ่อเป็นคนงานในบ้านคุณแม่ซึ่งทำขนมไทยขาย โดยอาศัยสูตรจากคุณยายทวดที่เป็นคนทำอาหารในวังมาก่อน พอคุณพ่อคุณแม่แต่งงานกัน ก็ตั้งหน้าตั้งตาสร้างครอบครัว โชคดีที่คุณพ่อเคยทำงานในโรงกลึงมาก่อน เลยเริ่มคิดที่จะทำเครื่องจักรมาเพื่อช่วยให้ผลิตขนมไทยได้เร็วและมากขึ้น

“คุณพ่อไม่ได้เรียนหนังสือ อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แต่เชื่อมั้ยว่า เมื่อ 30 ปีที่แล้ว คุณพ่อเปลี่ยนจากใช้แรงงานสองมือทำขนมมาสร้างเครื่องโรยฝอย เพื่อใช้ทำฝอยทอง เครื่องทำทองหยอด เป็นเจ้าแรก เพื่อผลิตขนมให้ทันกับความต้องการของลูกค้าที่มากขึ้น คุณพ่อคุณแม่เป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ช่วงเทศกาลปีใหม่ขนมไทยขายดีมาก ท่านนอนวันละ 1 ชม. คือนอน 6 โมงเช้า ตื่น 7 โมง ภาพที่เราเห็นมาตลอดคือคุณพ่อคุณแม่ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเดียว แทบจะไม่ใช้เงินเลย จนกระทั่งสามารถสร้างหลังใหม่ สร้างโรงงาน จากเดิมเราทำขนมกันอยู่ในบ้านเช่า นั่งรถประจำทางไปส่งของ ไปขายตามตลาด”

โค้ชเป้เล่าอย่างติดตลกว่า ตอนที่ที่บ้านเริ่มมีฐานะ แต่เด็กชายเป้ในตอนนั้นกลับไม่รู้ตัวเลย เพราะคุณพ่อคุณแม่ใช้เงินอย่างรู้คุณค่า พอที่บ้านมีที่ จะกินผัก คุณพ่อก็ปลูกเอง จะกินปลาที่บ้านมีบ่อ คุณพ่อก็ซื้อปลามาเลี้ยง ใช้ชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง

“ตอนอายุ 11-12 ปี ที่บ้านผมเริ่มฐานะการเงินดีขึ้น แต่คุณพ่อคุณแม่ใช้เงินเหมือนเราไม่มี เพื่อนคนอื่นเล่นของเล่น เรายังปั้นดินเหนียวอยู่เลย (หัวเราะ) ผมมารู้ว่าบ้านเราพอมีเงินก็ตอนอายุ 15 ปี ที่บ้านซื้อรถเบนซ์ แต่ถึงจะฐานะแบบไหน คุณพ่อคุณแม่จะสอนเสมอไม่ให้เราถือตัว อย่างเวลาเรียกคนงาน ท่านจะสอนให้เราเรียกว่า พี่ๆ ท่านบอกเสมอว่า พี่ๆ ที่มาทำงานกับเราตรงนี้ถึงทำให้เราลืมตาอ้าปากได้”

2.ปราโมทย์ ธีระวิวัฒน์ ‘นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่’ ฮีโร่อีกคน คือ ปราโมทย์ ธีระวิวัฒน์ นักกีฬาแบดมินตันไทย ซึ่งโค้ชเป้มีโอกาสพบกับปราโมทย์ตั้งแต่ตอนที่มาเช่าบ้านลุงของโค้ชเป้ ตอนนั้นโค้ชเป้ยอมรับว่าไม่รู้จักนักกีฬาแบดมินตันชื่อดังคนนี้ จนวันหนึ่งเขาเข้ามาเป็นนักกีฬาแบดมินตัน ก็เริ่มได้ยินชื่อเสียงของปราโมทย์ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นผู้ชายที่เคยเจอกันก่อนหน้านี้ กระทั่งโค้ชเป้ติดเยาวชนทีมชาติได้ไปซ้อมที่สมาคมกีฬาแบดมินตัน แล้วเจอกันอีกครั้งถึงได้มาถึงบางอ้อ

“ตอนที่เข้าทีมชาติ ผมได้มีโอกาสฝึกซ้อมกับพี่เขา พี่เขาดูแลผมเป็นอย่างดี พี่เขาเป็นตัวอย่างเรื่องความพยายามและความอดทนสูงมาก เป็นคนสู้ชีวิต พี่เขาไม่ได้เริ่มต้นจากมีฐานะร่ำรวยอะไร แต่ก็สู้จนตัวเองมีบ้าน มีรถ”

โค้ชเป้บอกว่า ในฐานะนักแบดมินตันรุ่นพี่ ปราโมทย์ก็เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับนักกีฬารุ่นน้อง 

“ตอนพี่เขาไปแข่งกีฬาโอลิมปิก ที่กรุงเอเธนส์ ปี 2004 ตอนนั้นพี่เขาอายุ 37 ปี ส่วนผมอายุ 24 ปี ผมเห็นพี่เขาตื่นมาวิ่งทุกเช้า ทุกวัน โดยที่พี่เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองอายุเยอะแล้ว โปรแล้ว ไม่จำเป็นนะ พี่เขาถือว่าตัวเองเป็นเหมือนนักกีฬาคนหนึ่ง เรื่องอายุสำหรับนักกีฬาเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าไม่หมั่นฟิตซ้อมอาจจะมีแรงสู้คู่แข่งที่อายุน้อยกว่าไม่ได้”

หลังจากปราโมทย์ผันตัวมาเป็นโค้ช โค้ชเป้ก็ได้มีโอกาสเทรนกับปราโมทย์ โค้ชเป้ยอมรับว่าได้มีโอกาสเทรนกับโค้ชหลายคน ซึ่งทุกท่านเก่งหมด แต่คนที่สร้างความแตกต่างให้เรา และทำให้เราพัฒนาฝีมือไปอีกขั้นได้ คือ โค้ชปราโมทย์

“การสอนของพี่เขาเหมือนได้ปลดล็อกบางอย่างให้เรา พอเราผ่านมาได้ และได้มาเป็นโค้ชทำให้สามารถเอามาถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ได้ ผมยอมรับว่า การที่นักกีฬาคนหนึ่งจะประสบความสำเร็จหรือไม่ อยู่ที่ตัวนักกีฬาด้วย แต่ถ้าโค้ชสามารถเปิดความคิดในส่วนที่นักกีฬาไม่เข้าใจจะช่วยให้เขาก้าวไปได้เร็วกว่าคู่แข่ง” โค้ชเป้ กล่าวทิ้งท้าย