เหตุการณ์สังหารหมู่ที่ ชาร์ลี เอบโด
เฟซบุ๊ก Kornkit Disthan
เฟซบุ๊ก Kornkit Disthan
ผมชั่งใจตั้งนานว่าควรจะเขียนเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ ชาร์ลี เอบโด (Charlie Hebdo) ดีหรือไม่เพราะเป็นประเด็นที่มีความละเอียดอ่อน และซับซ้อน
ละเอียดอ่อนเพราะโยงกับศาสนาและการเมือง ที่ซับซ้อนเพราะเป็นปัญหาโยงใยหลายตลบ
แต่ตัดสินใจเขียนเพราะเป็นโศกนาฏกรรมของเพื่อนร่วมอาชีพ
ฝรั่งเศสขึ้นชื่อลือชาในเรื่องหวงแหนเสรีภาพยิ่งนัก อาจจะยิ่งกว่าอเมริกันด้วยซ้ำในแง่คุณภาพ ทั้งยังเป็นรัฐโลกวิสัย (Secular state) ยึดในวัตถุนิยม (คือสิ่งที่จับต้องได้ไม่ใช่นามธรรม) บูชารัฐธรรมนูญ เชิดชูหลักนิติรัฐ แยกศาสนาออกจากการเมืองและสังคมชัดเจน รัฐบาลจึงไม่สนับสนุนศาสนา ทั้งยังเรียกร้องให้ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญโดยไม่แยแสว่ารัฐธรรมนูญจะขัดแย้งกับศาสนาหรือไม่
นี่เองที่ทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสออกกฎหมายห้ามสวมฮิญาบ หรือแม้แต่ห้อยไม้กางเขนในสถานที่ของรัฐ
ฝรั่งเศสยังยึดหลักเสรีภาพในการแสดงออกอย่างเหนียวแน่น สื่อจึงทำหน้าที่อย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม แสดงความเห็นอย่างเจ็บแสบ จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมประเทศนี้จึงเป็นที่ทำการขององค์การสื่อไร้พรมแดน (Reporters sans frontières) และทำไมประธานาธิบดี ฟรังซัวส์ อ็อลล็ง จึงแถลงยืนยันว่า เหตุการณ์สังหารหมู่จะไม่มีทางสั่นคลอนหลักการการแสดงความเห็นอย่างเสรีในประเทศนี้ได้
อาจสรุปได้ว่า "รัฐโลกวิสัยย่อมไม่แยแสมาตรฐานอื่น ทำนองเดียวกับที่รัฐศาสนาก็ไม่อาจยกย่องหลักการอื่นเหนือหลักธรรมเช่นกัน"
ถามว่า การหมิ่นศาสนาอิสลามของนิตยสารชาร์ลี เอบโด "ล้ำเส้น" หรือไม่ ก็ต้องดูลักษณะของรัฐที่นิตยสารแห่งนี้สังกัดอยู่ หากนิตยสารหัวนี้ไปอยู่ที่อิหร่าน มาเลเซีย หรือแม้แต่ไทย การดำเนินการและการตอบสนองท่าทีของนิตยสารจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
ในบ้านเรานั้นมีสถานะเฉพาะ มิได้ประกาศว่าเป็นรัฐโลกวิสัยแต่ก็ใช้หลักนิติรัฐแบบโลกวิสัย แม้นมิได้ประกาศว่าสนับสนุนฝ่ายศาสนา แต่ก็รัฐธรรมนูญก็กำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธศาสนิกและอัครศาสนูปถัมภก คือ ผู้ทะนุบำรุงศาสนาทั้งหลายที่รัฐรับรอง ซึ่งหมายความว่า ประเทศไทยมีสถานะกึ่งๆ เราสามารถแสดงความเห็นอย่างเสรีได้ ตราบใดที่ไม่กระทบโครงสร้างหลัก
นอกจากนี้ ในกรณีของสื่อไทย ยังถูกควบคุมด้วย มารยาท ความเคารพ ความเห็นอกเห็นใจกัน เส้นสาย และผลประโยชน์ แน่ล่ะในหลายกรณีเกี่ยวข้องกับความกลัวจากถูกคุกคามด้วย ทั้งจากฝ่ายศาสนาและปัจจัยอื่นๆ
ประชาชนทั่วไปก็มักจะมีม็อตโตใช้ป้องกันตัวเองยามที่เกิดการปะทะระหว่างความเชื่อทางศาสนากับโลกวิสัย นั่นคือวลีที่ว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" วลีนี้แม้จะฟังดูเหลวไหลไร้เหตุผล แต่ช่วยป้องกันความขัดแย้งระหว่างโลกวิสัย-ศาสนาในประเทศมานักต่อนักแล้ว
สภาพเฉพาะของไทยทำให้เทียบกับสถานการณ์ที่ปารีสได้ยาก และยากที่คนไทยหลายคนจะเข้าใจว่าทำไมจึงเกิดการปะทะในประเทศนั้น รวมถึงในเยอรมนีที่เริ่มจะแรงขึ้นเรื่อยๆ
น่าสังเกตว่า ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ ที่เยอรมนีก็มีประท้วงต่อต้านมุสลิมครั้งใหญ่ ในฝรั่งเศสเองก็มีนิยายเล่มหนึ่งอื้อฉาวไม่น้อย ชื่อ Soumission (นอบน้อม) ของ มิเชล แวลเลอเบค (Michel Houellebecq) เพราะวาดภาพสังคมฝรั่งเศสในยุคที่ชาวมุสลิมเป็นใหญ่ พรรคฝ่ายศาสนาได้เป็นรัฐบาล ออกกฎหมายทางโลกอิงกับชะรีอะห์ แต่ผู้คนวิจารณ์ว่าเป็นนิยายที่ปลุกความกลัวมุสลิมในประเทศ
ภาพประกอบที่ผมยกมาคือหน้าปกนิตยสาร Charlie Hebdo ล้อเลียนชาวมุสลิมและชาวยิวในยุโรป ด้วยพาดหัวว่า intouchables 2 (สองแตะต้องไม่ได้) และโปรยว่า faut pas se moquer (อย่าล้อเลียน) สื่อว่าในยุโรปหมกมุ่นกับความรู้สึกผิดที่นาซีทำกับชาวยิว จึงมีปกฎหมายปกป้องชาวยิวจนเว่อร์ สื่อก็ไม่กล้าเล่นข่าวทางลบกับชาวยิว ใครวิจารณ์ยิวในทางเสียหายจะถูกสังคมตำหนิ ซึ่งนิตยสารฉบับนี้คงจะเชื่อด้วยว่า ชาวมุสลิมอยู่ในข่ายเดียวกันคือยากที่จะแตะต้อง
ถามว่าใครอยากจะแตะต้อง และชำแหละประเด็นนี้มากที่สุด? ก็คือสื่อเสรีสุดๆ ในประเทศฝรั่งเศสนั่นเอง
เรื่องนี้อาจคิดว่าไกลตัวเรา แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ผมคิดว่าจะเป็นฟางเส้นแรกๆ ที่ทำให้ความขัดแย้งระหว่างศาสนาและโลกวิสัยตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปนี้หากรัฐบาลฝรั่งเศสผ่านระเบียบกดขี่ศาสนาจะได้รับการยอมรับง่ายขึ้น


