ลายแทงแห่งนิพพาน
นิพพาน ตามตัวอักษรแปลว่า “ความสิ้นไปแห่งตัณหา” (ตณฺหาย วิปฺปหาเนน นิพฺพานํ อิติ วุจฺจติ) ที่ท่านระบุถึงความสิ้นไปแห่งตัณหาก็เพราะตัณหาจัดเป็น “สมุทัย” คือ สาเหตุของความทุกข์ เป็นกิเลสระดับตัวชูโรงหรือระดับหัวหน้าพรรคของกิเลสอื่นๆ อีกมากมายที่จะตามมา อย่างไรก็ตาม นอกจากความหมายตามตัวอักษรที่กล่าวมาแล้วนิพพานยังมีอีกหลายความหมาย เช่น
นิพพาน ตามตัวอักษรแปลว่า “ความสิ้นไปแห่งตัณหา” (ตณฺหาย วิปฺปหาเนน นิพฺพานํ อิติ วุจฺจติ) ที่ท่านระบุถึงความสิ้นไปแห่งตัณหาก็เพราะตัณหาจัดเป็น “สมุทัย” คือ สาเหตุของความทุกข์ เป็นกิเลสระดับตัวชูโรงหรือระดับหัวหน้าพรรคของกิเลสอื่นๆ อีกมากมายที่จะตามมา อย่างไรก็ตาม นอกจากความหมายตามตัวอักษรที่กล่าวมาแล้วนิพพานยังมีอีกหลายความหมาย เช่น
นิพพาน หมายถึง ความสิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ
นิพพาน หมายถึง ความดับแห่งภพ
นิพพาน หมายถึง ที่จบสิ้นของความทุกข์
นิพพาน หมายถึง ที่จบของพรหมจรรย์ เป็นต้น
ในบางคัมภีร์ท่านระบุว่าคำไวพจน์ของพระนิพพานเพิ่มเติมไว้อีกเป็นอเนกนัย ซึ่งสนใจสามารถศึกษาได้จากคัมภีร์สัมโมหวิโนทนี เป็นต้น ในบรรดาคำไว้พจน์เหล่านั้น คำที่น่าสนใจและได้รับการกล่าวอ้างอยู่บ่อยๆ ในคัมภีร์ทั้งหลายก็คือ
มทนิมฺมทโน ภาวะที่ย่ำยีความเมา
ปิปาสวินโย ภาวะสิ้นความกระหาย
อาลยสมุคฺฆาโต ภาวะที่ถอนอาลัยได้เด็ดขาด
วฏฺฏูููปจฺเฉโท ภาวะที่ตัดวัฏฏะ (การเวียนว่ายตายเกิด)
ราคกฺขโย ภาวะที่สิ้นราคะ
โทสกฺขโย ภาวะที่สิ้นโทสะ
โมหกฺขโย ภาวะที่สิ้นโมหะ
ตณฺหกฺขโย ภาวะที่สิ้นตัณหา
วิราโค ภาวะที่สิ้นกำหนัด
นิโรโธ ภาวะที่ดับกิเลสและกองทุกข์
ความสำคัญ
นิพพานเป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา เป็นภาวะที่มนุษย์ทุกคนควรบรรลุถึง เป็นวิวัฒนาการสูงสุดทางปัญญาของมนุษยชาติ ดังมีข้อความปรากฏอยู่ในโอวาทปาฏิโมกข์ว่า “นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา” (พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่า นิพพานเป็นบรมธรรม) หรือ “นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ” (ไม่มีสุขใดยิ่งไปกว่าสันติสุข) คำว่า “สันติสุข” ในที่นี้หมายถึง นิพพาน ในคัมภีร์มูลปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย พระพุทธองค์ตรัสถึงเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาว่าได้แก่พระนิพพาน ดังนี้
“ภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้ มิใช่มีลาภ สักการะ และเสียงเยินยอ เป็นอานิสงส์
พรหมจรรย์นี้ มิใช่มีความถึงพร้อมด้วยศีล เป็นอานิสงส์
พรหมจรรย์นี้ มิใช่มีความถึงพร้อมด้วยสมาธิ เป็นอานิสงส์
พรหมจรรย์นี้ มิใช่มีความถึงพร้อมด้วยญาณทัสสนะ เป็นอานิสงส์
ภิกษุทั้งหลาย ก็เจโตวิมุตติอันไม่กำเริบอันใด มีอยู่
พรหมจรรย์นี้ มีสิ่งนั้น นั่นแหละเป็นประโยชน์ที่มุ่งหมาย
เป็นแก่นสาร เป็นผลสุดท้ายของพรหมจรรย์แล”
วิธีการเข้าถึงนิพพาน
วิธีการเข้าถึงนิพพานมีปรากฏอยู่ในหลักธรรมเรื่องอริยสัจ 4 ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ 8 อันประกอบด้วย
1.สัมมาทิฐิ เห็นชอบ
2.สัมมาสังกัปปะ คิดชอบ
3.สัมมาวาจา พูดชอบ
4.สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ
5.สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ
6.สัมมาวายามะ พยายามชอบ
7.สัมมาสติ ระลึกชอบ
8.สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ
องค์มรรคแต่ละข้อมีรายละเอียดที่พระพุทธเจ้าทรงอธิบายไว้ดังต่อไปนี้
“ภิกษุทั้งหลาย ก็อริยสัจคือหนทางเป็นเครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์นั้น เป็นอย่างไรเล่า คือหนทางอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนี้เอง องค์แปดคือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การพูดจาชอบ การงานชอบ การเลี้ยงชีพชอบ ความเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ”
(1) ภิกษุทั้งหลาย ความเห็นชอบเป็นอย่างไร
ภิกษุทั้งหลาย ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ ความรู้ในความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ความรู้ในหนทางเป็นเครื่องให้ถึงความดับ ไม่เหลือแห่งทุกข์ อันใด นี้เราเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ
(2) ภิกษุทั้งหลาย ความดำริชอบเป็นอย่างไร
ภิกษุทั้งหลาย ความดำริชอบในการออกจากกาม ความดำริในการไม่พยาบาท ความดำริในการไม่เบียดเบียน นี้เราเรียกว่า สัมมาสังกัปปะ
(3) ภิกษุทั้งหลาย การพูดจากชอบเป็นอย่างไรเล่า
ภิกษุทั้งหลาย การเว้นจากการพูดเท็จ การเว้นจากการพูดยุให้แตกกัน การเว้นจากการพูดหยาบ การเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ นี้เราเรียกว่า สัมมาวาจา
(4) ภิกษุทั้งหลาย กระทำชอบเป็นอย่างไร
ภิกษุทั้งหลาย การเว้นจากการฆ่าสัตว์ การเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ การเว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า สัมมากัมมันตะ
(5) ภิกษุทั้งหลาย การเลี้ยงชีพชอบเป็นอย่างไร
ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกนี้ ละมิจฉาชีพเสีย สำเร็จความเป็นอยู่ด้วยสัมมาชีพ นี้เราเรียกว่า สัมมาอาชีวะ
(6) ภิกษุทั้งหลาย ความเพียรชอบเป็นอย่างไร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้ ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อความไม่บังเกิดขึ้น แห่งอกุศลธรรมทั้งหลายอันเป็นบาปที่ยังไม่ได้บังเกิดขึ้น ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตใจ เพื่อการละเสียซึ่งอกุศลธรรมทั้งหลายอันเป็นบาป ที่บังเกิดขึ้นแล้ว; ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตใจ เพื่อการบังเกิดขึ้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลายที่ยังไม่ได้เกิด ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อความยั่งยืน ความไม่เลอะเลือน ความงอกงามยิ่งขึ้น ความไพบูลย์ ความเจริญ ความเต็มรอบแห่งกุศลธรรมทั้งหลายที่บังเกิดขึ้นแล้ว นี้เรียกว่า สัมมาวายามะ
(7) ภิกษุทั้งหลาย ความระลึกชอบเป็นอย่างไร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้ เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นภายในกายอยู่มีความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่ มีความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่, มีความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ นี้เราเรียกว่า สัมมาสติ
(8) ภิกษุทั้งหลาย ความตั้งใจมั่นชอบเป็นอย่างไร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้ เพราะสงัดจากกามทั้งหลาย ย่อมเข้าถึงฌานที่หนึ่ง อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่ เพราะวิตกวิจารรำงับลง เธอเข้าถึงฌานที่สอง อันเป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้สมาชิกเป็นธรรมอันเอกผุดขึ้นไม่มีวิตกไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดแต่สมาธิแล้วแลอยู่ เพราะปีติจางหายไป เธอเป็นผู้เพ่งเฉยอยู่ได้ มีสติ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและได้เสวยสุขด้วยนามกาย ย่อมเข้าถึงฌานที่สาม อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย กล่าวสรรเสริญผู้ได้บรรลุว่า “เป็นผู้เฉยอยู่ได้ มีสติ มีการอยู่เป็นสุข” แล้วแลอยู่ เพราะละสุขและทุกข์เสียได้ และเพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน เธอย่อมเข้าถึงฌานที่สี่ อันไม่ทุกข์และไม่สุข มีแต่สติอันบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่ นี้เราเรียกว่า สัมมาสมาธิ
ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า อริยสัจ คือ หนทางเป็นเครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์


