วรยุทธ กิตติอุดม เดินสายกลางทำธุรกิจอย่างเหมาะสม
เขาเป็นชายหนุ่มวัย 30 ปลายๆ ท่าทางเรียบร้อยใจดี เป็นรุ่นที่ 3
เขาเป็นชายหนุ่มวัย 30 ปลายๆ ท่าทางเรียบร้อยใจดี เป็นรุ่นที่ 3 ของครอบครัวที่ทำธุรกิจด้านธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์มาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ในนามรุ่งกิจก่อสร้าง มาถึงรุ่นที่ 3 อย่างเขา วรยุทธ กิตติอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) จนมาก็ขอปรับเปลี่ยนพัฒนาให้ทันสมัยเหมาะกับการทำงานของคนรุ่นใหม่ในยุคที่เทคโนโลยีไปไกลอย่างรวดเร็ว โดยรีแบรนด์ใหม่เป็น RK Park
มียอดขายปีละ 1,500 ล้านบาท หลักในการสร้างโครงการของ RK คือ ต้องติดถนนใหญ่ เข้าถึงง่าย สาธารณูปโภคต้องเสร็จก่อน ถนนในโครงการต้องใหญ่สัญจรได้ง่าย พื้นที่ใช้สอยมาก
ทำธุรกิจให้ครบวงจร
เขาเล่าย้อนอดีตให้ฟังว่าคุณปู่ของเขาเริ่มธุรกิจจากรับเหมาก่อสร้าง ขายวัสดุก่อสร้าง จนมาทำหมู่บ้านจัดสรรในนามทองไทยสถาปัตย์ เมื่อ 50 กว่าปีที่แล้ว เริ่มโครงการแรกที่สุขุมวิท 101 ซึ่งถือว่าไกลมากในตอนนั้นเหมือนชานเมืองยังไงยังงั้นเลย จนมารุ่นคุณพ่อของเขาก็ได้ทำหมู่บ้านจัดสรรภายใต้ชื่อโครงการว่ารุ่งกิจวิลล่า ย่านสุขาภิบาล และตั้งบริษัทใหม่ว่า รุ่งพัฒนาพร็อพเพอร์ตี้ ทำโครงการบ้านจัดสรรมาแล้ว 15 โครงการ และได้ขยายงานเพิ่มด้วยการเปิดโรงงานผลิตอุปกรณ์ก่อสร้างสำเร็จรูปที่เรียกว่า พีแคส และเป็นเอเยนต์ขายวัสดุก่อสร้างให้กับเครือซีเมนต์ไทย รวมทั้งบริษัทสีขนาดใหญ่เพื่อให้ธุรกิจมีครบวงจรทั้งระบบ เพื่อให้สามารถกำหนดต้นทุนการก่อสร้างได้อย่างชัดเจน จนส่งผลดีให้ราคาบ้านของบริษัทเขาราคาถูกกว่าคนอื่นในตลาด 10-15% เพราะทำธุรกิจครบวงจรนั่นเอง
เดินสายกลางทำธุรกิจอย่างเหมาะสม
นั่นเป็นนโยบายที่คุณปู่ของเขาพร่ำสอนเอาไว้ เนื่องจากเขาเป็นหลานชายที่ใกล้ชิดคุณปู่ ตามคุณปู่ไปทำงานไปดูไซส์งานตั้งแต่เด็กๆ
“เวลาท่านไปดูงาน ไปประชุม ไปดูสถานที่ก่อสร้างเราก็ตามไปตั้งแต่อายุ 11-12 ปี ท่านพูดท่านคุยอะไรเราก็ได้ยินได้ฟังมาเรื่อยๆ ท่านจะสอนเสมอว่าทำอะไรอย่าละโมบอย่าเกินตัว อย่างทำโครงการต่างๆ ท่านจะทำทีละโครงการขายหมด แล้วจึงเริ่มโครงการใหม่ ไม่ทำทีละ 2-3 โครงการ แบบนั้นท่านไม่ชอบ และแต่ละโครงการของเราขายหมดภายใน 1 ปีเศษๆ ไม่เคยเหลือ ไม่มีคนมาซื้อเพื่อเก็งกำไรหรือขายใบจอง คนที่ซื้อคือเพื่อต้องการมาอยู่เอง ที่สำคัญคุณปู่จะสอนเสมอว่าควรทำธุรกิจด้วยเงินสด ไม่จำเป็นไม่ควรกู้ธนาคารเลย ซึ่งการทำธุรกิจตลอดชีวิตของท่านไม่เคยกู้แบงก์เลยทุกวันนี้อายุ 90 ปีกว่าแล้ว ท่านยังดูบัญชีเองอยู่เลย (หัวเราะ)” เขากล่าวอย่างภาคภูมิใจในตัวคุณปู่
โจทย์ทุกโจทย์ต้องชนะคู่แข่ง
มารุ่นคุณพ่อของเขาก็ยังยึดนโยบายนั้นอยู่ แม้จะทำให้การขยายงาน การผุดโครงการในแต่ละปีจะน้อยแต่ก็มั่นคงแข็งแรงในการทำงาน แม้เมื่อเกิดภาวะวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ล้มครืนไปหลายบริษัท แต่บริษัทของเขาไม่เดือดร้อนอะไรเลย เนื่องจากไม่ได้กู้ธนาคารและทำทีละโครงการ บ้านขายหมดตามแผนที่วางไว้ และเพราะการทำธุรกิจโดยไม่กู้ธนาคารนี่เอง ที่สามารถทำให้ต้นทุนในการขายบ้านของเขาในขนาดเดียวกับรายอื่นราคาจึงถูกกว่า
“คุณปู่สอนว่าจะทำค้าขายอะไรต้องทำให้ดีกว่าถูกกว่าแล้วจะคงทนยาวนาน ทำธุรกิจต้องอยู่บนพื้นฐานความจริงไม่ขายฝัน เงินที่ได้ไปซื้อของสต๊อกไว้สำหรับโครงการต่อไป เราจะได้ไม่ต้องซื้อของแพง คุณปู่ผมทำธุรกิจมาไม่เคยมีเช็คเด้งชื่อเสียงท่านดีมาก ท่านไม่ได้เรียนสูงแต่นโยบายในการทำงานของท่านดีจริง สัมผัสจับต้องได้ไม่ซับซ้อนซื่อสัตย์ มีวินัยในการเงิน นี่คือสิ่งที่ท่านสอนลูกสอนหลานเสมอ” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
ขยายตลาดสู่โฮมออฟฟิศและคอนโดรับ AEC
เมื่อมาสู่การทำงานในยุคของเขานั้น ก็มีการปรับเปลี่ยนมากขึ้น คือเริ่มปรับระบบการทำงานให้มีความทันสมัย เอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากขึ้น เอามืออาชีพเข้ามาทำงานมากขึ้น การออกแบบหน้าตาของบ้านมีความสวยทันสมัยมากขึ้น รวมทั้งขยายไลน์สินค้า จากบ้านจัดสรร ทาวน์เฮาส์ มาทำเป็นโฮมออฟฟิศในนาม RK ออฟฟิศ PARK ซึ่งถือเป็นรูปแบบใหม่ที่ทั้งโครงการบนเนื้อที่ 8 ไร่ มีแต่โฮมออฟฟิศ และมีระบบสาธารณูปโภคแบบบ้านจัดสรร คือ มีสระว่ายน้ำ มีสปอร์ตคอมเพค และโฮมออฟฟิศ โดยมีขนาดให้เลือกที่หลากหลายตั้งแต่ราคา 2-10 กว่าล้านบาท มีหน้าตึกกว้างถึง 5 เมตร ซึ่งเขาทำมาแล้ว 18 โครงการและได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
โครงการของเขาจะอยู่ย่านสุวรรณภูมิ ด้านกรุงเทพฯ ตะวันออก เพราะเป็นกลุ่มลูกค้าเดิมที่มีอยู่ พ่อแม่ซื้อ ลูกโตแยกบ้านก็มาซื้อย่านที่ใกล้กับพ่อแม่ พี่น้องก็มาซื้อเกาะกลุ่มกันแถวๆ นั้น ซึ่งโครงการล่าสุดขณะนี้คือ RK บิสเซ็นเตอร์ ย่านมอเตอร์เวย์ เป็นสมาร์ทออฟฟิศครบวงจร ราคา 2-80 ล้านบาท มีพื้นที่ใช้สอยสูงสุดถึง 2,000 ตารางเมตร
ในปีหน้าเขาจะเปิดคอนโดมิเนียมในย่านบางนา-ชลบุรี เพื่อรองรับเออีซี กลุ่มโรงงาน เน้นตลาดตั้งแต่กลุ่ม ซี+ จนถึง บี+ ควบคู่กับโครงการโฮมออฟฟิศตามความถนัดของเขาอีก 2 โครงการ นอกจากนี้เขายังมีแผนจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2559
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
ในฐานะที่เป็นคนทำงานรุ่นใหม่ เขาคิดว่าผู้บริหารที่ดี ควรทำงานอย่างมีจรรยาบรรณ มีความซื่อสัตย์สุจริต พัฒนาการทำงานอยู่เสมอ เอาใจเขามาใส่ใจเรา ส่งเสริมลูกน้องเมื่อโอกาสอำนวย เมื่อเจอปัญหาอุปสรรคก็อย่าย่อท้อง่ายๆ ทุกอย่างมีทางออกเสมอ และที่สำคัญที่สุดก็คือจะบริหารงานให้ทันสมัยทันใจอย่างไรก็ได้แต่ต้องมีวินัยทางการเงินอย่างเคร่งครัด ถ้าขาดวินัยทางการเงินระบบบัญชีก็จะยุ่งเหยิง ยุ่งยาก วุ่นวาย


