ชนนภัทร วิรัชชัย นักสู้หมัดเหล็กแห่งเอ็มเอ็มเอ
หนุ่มมาดเข้มสมชายชาตินักรบไทยผู้นี้คือ ชนนภัทร วิรัชชัย นักกีฬาเอ็มเอ็มเอ (MMA-Mixed Martial Arts)
หนุ่มมาดเข้มสมชายชาตินักรบไทยผู้นี้คือ ชนนภัทร วิรัชชัย นักกีฬาเอ็มเอ็มเอ (MMA-Mixed Martial Arts) หรือที่รู้จักในชื่อ ครูตอง วันชิน ผู้ฝึกสอนกีฬาเอ็มเอ็มเอให้กับเดอะไฟท์แล็ป ตึก RSU สุขุมวิท 31 ชนนภัทรเป็นนักกีฬาเอ็มเอ็มเออาชีพ ในรายการแข่งขันเอ็มเอ็มเอรายการใหญ่ของเอเชีย อย่างแดร์ เอ็มเอ็มเอ แชมเปี้ยนชิพ (Dare MMA Championship) และวันไฟท์ติ้ง แชมเปี้ยนชิพ (One Fighting Championship) ซึ่งหลายคนคงได้เคยเห็นภาพการต่อสู้ในกรงเหล็ก ไม่ว่าจะเป็นทางรายการกีฬาศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว หรือในภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวมาบ้างแล้ว และเขาผู้นี้ก็คือหนึ่งในนักกีฬาเอ็มเอ็มเอเพียงไม่กี่คนของประเทศไทยที่เป็นตัวแทนประเทศลงแข่งขันในกีฬาการต่อสู้อันดุเดือดเช่นนี้
ก่อนจะเป็นนักกีฬาเอ็มเอ็มเอ
ชนนภัทรเล่าถึงความหลังที่ทำให้เขาหลงใหลในศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวว่า เริ่มเหมือนกับเด็กผู้ชายทั่วๆ ไปที่ดูหนังขบวนการ 5 สี มีต่อสู้ มีฉากแอ็กชั่นแล้วก็อยากจะเก่งเหมือนอย่างตัวละครนั้น จึงเล่นเตะต่อยกับเพื่อนตามประสาเด็กผู้ชายทั่วไป แต่กระนั้นเขาก็สู้เพื่อนที่ตัวโตกว่าไม่ได้ แม่เห็นว่าชอบก็เลยจับส่งไปเรียนจะได้มีวิชาไว้ป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกรังแก แรกเริ่มนั้นชนนภัทรอยากจะเรียนเทควันโด แต่ที่เรียนไกลบ้านของเขามากเกินไป แต่ใกล้ๆ บ้านมีโรงฝึกยูโดเปิดสอนจึงเข้าไปลองเรียนก่อน ในช่วงประมาณ ป.4 จนกระทั่ง ม.4 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวอย่างจริงจัง
“ตอนนั้นที่โรงฝึกยูโด มีรุ่นพี่หลายคนเริ่มฝึกมวยประเภทอื่นๆ อย่างมวยจีน เราก็ชอบมวยจีนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็ไปเรียนมวยจีนควบคู่ไปกับยูโด จนกระทั่งมีรุ่นพี่อีกคนเอากีฬาเอ็มเอ็มเอเข้ามาสอน เราก็เกิดความสนใจว่ามันคืออะไร สิ่งที่เรารู้เวลานั้นก็คือเป็นกีฬาที่ผสมผสานเอาศิลปะการต่อสู้หลายๆ แขนงเข้ามารวมกัน เพื่อสู้กันในเวทีกรงเหล็ก และสู้กันจนกว่าคู่ต่อสู้จะล้มหรือยอมแพ้
เราก็เริ่มฝึกด้วยการนำเอาวิชายูโด มวยจีน และมวยไทย ประยุกต์เอาเฉพาะที่สามารถใช้งานได้ภายใต้กติกาของเอ็มเอ็มเอ แต่สุดท้ายแล้วเข้าแข่งขันในรายการแรกชื่อคิงส์ ออฟ ไฟท์เตอร์ แต่ภายหลังก็เปลี่ยนชื่อไปเพราะติดเรื่องลิขสิทธิ์ จำได้ว่ารายการนั้นผมแพ้ไป ก็กลับมาคิดทบทวนตัวเองว่าทำไมเราถึงแพ้ หลังจากนั้นก็เริ่มฝึกเอ็มเอ็มเออย่างจริงจังกับนักกีฬาเอ็มเอ็มเอชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทย จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมกลายเป็นนักกีฬาเอ็มเอ็มเอถึงทุกวันนี้”
เอ็มเอ็มเอคืออะไร
ชนนภัทรอธิบายว่า ในสายตาคนทั่วไป เอ็มเอ็มเอคือการต่อสู้ป้องกันตัวที่หยิบจับเอาศิลปะการต่อสู้อื่นๆ เข้ามาผสมผสาน เอ็มเอ็มเอมีต้นกำเนิดจากรายการแข่งขัน UFC (Ultimate Fighting Championship) ซึ่งเป็นรายการแข่งขันเอ็มเอ็มเอรายการใหญ่สุดของโลก เมื่อราวๆ ปี 1993 หรือเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน ตอนนั้นเป็นแค่การเชิญนักกีฬาต่อสู้ป้องกันตัวในแต่ละวิชามาสู้เพื่อหาผู้ชนะในกฎกติกาที่ค่อนข้างอิสระ เพียงแค่ให้คู่ต่อสู้ยอมแพ้หรือน็อกเอาต์ อีกฝ่ายก็เป็นฝ่ายชนะในทันที
หลังจากมีการจัดการแข่งขัน UFC ครั้งต่อๆ มาก็เริ่มมีการพัฒนารูปแบบการต่อสู้เฉพาะขึ้นเพื่อเอาชนะในรายการแข่งขัน UFC จนกลายเป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวที่เรียกว่าเอ็มเอ็มเอ ที่นำเอาท่าการต่อสู้ที่มีโอกาสใช้ได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพมาใช้บนเวทีนี้
“หากเราถามหาเอกลักษณ์เฉพาะของนักกีฬาเอ็มเอ็มเอนั้นจะบอกได้ยากมาก แต่เราอาจดูได้จากการตั้งการ์ดสู้ และท่ายืนที่ค่อนข้างรัดกุม คล้ายๆ มวยไทยแต่ไม่เชิงเสียทีเดียว แต่เขาจะเตะเหมือนมวยไทย ทุ่มเหมือนยูโด ล็อกเหมือนยูยิตสู ต่อยเหมือนมวยสากล เป็นจุดเด่นของทุกศาสตร์มารวมกัน แต่การแข่งเอ็มเอ็มเอเขาจะต่อสู้กันในกรงเหล็ก ทำให้ภาพลักษณ์ที่ปรากฏต่อสายตาคนทั่วไปกีฬานี้ดูโหดร้ายและค่อนข้างรุนแรง
อันที่จริงแล้วกฎกติกาของเอ็มเอ็มเอก็เซฟนักกีฬาไว้พอสมควร โดยข้อห้ามก็คือ ห้ามจิ้มตา ห้ามโจมตีอวัยวะเพศ ห้ามดึงผมจิกกัด หรือทำในสิ่งที่ไม่อยู่ในท่าของศิลปะการต่อสู้ ห้ามโจมตีด้านหลังตั้งแต่แถบหลังหูเป็นต้นไป ห้ามเตะใบหน้าหากคู่ต่อสู้อยู่ในท่านอน (เช่น ท่าคุกเข่า หรือนอนลงไป) แต่สามารถต่อยซ้ำ รัดหรือบิดล็อกในท่านอนได้ และสุดท้ายกรรมการสามารถยุติการแข่งขันหากเห็นว่าคู่ต่อสู้สลบ หรืออยู่ในสภาพที่ไม่สามารถสู้ต่อได้ เช่น ไม่ตั้งการ์ดป้องกัน ถูกล็อกจนแขนขาผิดรูป เป็นต้น
อันที่จริงแล้วในการต่อสู้ป้องกันตัวในชีวิตจริง ไม่มีใครที่มาตั้งท่าสู้แบบมวยจีนหรือเทควันโดก่อนที่จะลงมือ เวลาที่คนมาทำร้ายเราเขาก็เข้ามาเตะต่อยให้เราล้มลงและซ้ำ ถ้าเรารู้จักใช้อาวุธที่ใช้ได้จริงและมีประโยชน์ รู้จักการป้องกันตัวเองเมื่อล้มลงไป เอ็มเอ็มเอก็คือการจำลองสิ่งที่อาจเกิดขึ้นจริงข้างถนนมาให้เราฝึกบนเวทีเท่านั้น”
การจะเป็นนักกีฬาเอ็มเอ็มเอ
“การเป็นนักกีฬาเอ็มเอ็มเอนั้นสามารถเป็นได้จาก 2 ทาง คือ อย่างแรกคุณไปเรียนศิลปะการต่อสู้มาหลายอย่างแล้วเข้ามาฝึกซ้อมการต่อสู้แบบเอ็มเอ็มเอ หรือเริ่มจากการเรียนเอ็มเอ็มเอแล้วเอาไปพัฒนาต่อยอดเฉพาะทางก็ได้เช่นกัน เพราะอย่างที่บอกไปแต่แรกก็คือ เอ็มเอ็มเอเป็นการผสมผสานศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวหลายสายเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อหารูปแบบที่ใช้ป้องกันตัวได้ดีที่สุด เราเตะแบบมวยไทยเราสอนเตะได้ แต่เราต้องออกไปฝึกเตะกับมวยไทยจริงๆ เอ็มเอ็มเอสอนทุ่ม แต่ถ้าจะทุ่มให้ดีเราต้องไปเรียนกับยูโด
เช่นเดียวกัน นักมวยไทยมาแข่งเอ็มเอ็มเอเขาก็ไม่สามารถเอาชนะภายใต้กฎกติกาแบบเอ็มเอ็มเอได้ นักมวยไทยก็ต้องพัฒนารูปแบบการต่อสู้ภายใต้กฎเอ็มเอ็มเอขึ้นมาใหม่ ดังนั้นสิ่งสำคัญไม่ใช่เรื่องของการฝึก แต่เป็นการเปลี่ยนทัศนคติ คนฝึกศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวแต่ละสายต่างก็บอกว่าของตัวเองนั้นดีที่สุด แต่ที่จริงแล้วเวลาที่เราต่อสู้จริงเราใช้เพียงไม่กี่ท่าในการต่อสู้เท่านั้น ถ้าเราไม่เอาสิ่งที่มีประโยชน์มากที่สุดมารวมกันทุกอย่างก็เปล่าประโยชน์” ชนนภัทรสอนถึงการเป็นนักกีฬาเอ็มเอ็มเอ ซึ่งทุกวันนี้ ชนนภัทรก็ยังหาเวลาว่างจากการฝึกซ้อมและฝึกสอนเอ็มเอ็มเอไปเรียนมวยไทย คาราเต้ เคนโด้ รวมทั้งเข้าคอร์สฝึกฝนร่างกายเพิ่มเติม เพื่อนำเคล็ดวิชาความรู้แต่ละสายมาพัฒนาฝีมือและฝึกสอนกับลูกศิษย์คนอื่นๆ
การป้องกันตัวในชีวิตจริง
อย่างไรก็ตาม แม้จะฝึกศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวมาดีอย่างไร แต่ในชีวิตจริงการป้องกันตัวที่ดีที่สุด ชนนภัทรบอกว่าก็คือการกล่าวคำว่าขอโทษ นั่นคือความเป็นจริงที่ช่วยให้เรารอดพ้นจากเหตุการณ์ที่สุ่มเสี่ยง เช่น เดินชนกันโดยไม่ตั้งใจ ก็แค่เพียงกล่าวคำว่าขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจครับ ไม่ต้องสนใจว่าใครชนใครก่อนหรือโดนหาเรื่อง อะไรที่ปล่อยผ่านไปได้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ต้องเก็บเอามาใส่ใจก็อย่าไปคิด
ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ถูกหาเรื่องโดยตรงเพื่อหวังชิงทรัพย์หรืออะไรก็แล้วแต่ ป้องกันตัวเท่าที่จำเป็นแล้ววิ่งหนีออกจากตรงนั้นเป็นการป้องกันตัวที่ดีที่สุด อย่าไปแลกไปเสี่ยง มันไม่คุ้ม
“เราคิดว่าเราเก่งแล้ว แต่ที่จริงมีคนที่เก่งมีฝีมือการต่อสู้เหนือกว่าเราอยู่อีกมาก มีทั้งเก่งกว่าทั้งฝีมือ บางคนไม่มีฝีมือการต่อสู้ แต่มีมีด มีปืน หรือสุดท้ายมีเงินและอิทธิพล สังคมเรามีคนหลากหลาย อย่าคิดว่าเราฝึกมาเอาชนะบนเวทีแล้วเราจะแน่กว่าใคร ชีวิตจริงไม่เหมือนในภาพยนตร์ เราเรียนศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวเพื่อรู้จักวิธีป้องกันตัว ไม่ได้ให้เราเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับเรื่องที่ไม่สมควรจะเสีย” ชนนภัทร ทิ้งท้าย


