เปิดใจเตียงหัก!"อ่ำ-จอย"เครียดหนี้เยอะจนคิดฆ่าตัวตาย
"อ่ำ อัมรินทร์"เปิดหมดเปลือก!ปมหย่า"จอย อัจฉริยา"เผยปัญหารุมเร้า ขายสมบัติเคลียร์หนี้ 7 ล้าน ยันไร้มือที่สาม รับตอนนี้แฮปปี้กว่าตอนอยุ่ด้วยกัน
"อ่ำ อัมรินทร์"เปิดหมดเปลือก!ปมหย่า"จอย อัจฉริยา"เผยปัญหารุมเร้า ขายสมบัติเคลียร์หนี้ 7 ล้าน ยันไร้มือที่สาม รับตอนนี้แฮปปี้กว่าตอนอยุ่ด้วยกัน
เป็นอีกประเด็นที่ทำเอาวงการบันเทิงช็อกและหลายคนติดตามถึงการปิดฉากรัก 12 ปีของอดีตนักร้องชื่้อดัง อ่ำ อัมรินทร์ นิติพน กับภรรยาสาว จอย อัจฉริยา หลังออกมาประกาศว่าหย่าร้างกันตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ล่าสุดหนุ่มอ่ำเดินทางไปบันทึกเทปรายการทูไนท์โชว์ เปิดใจผ่านกับพิธีกรรายการ "ไตรภพ ลิมปพัทธ์"ถึงสาเหตุการเลิกร้าครั้งนี้อย่างหมดเปลือกว่า...
"ผมยอมรับผิดเอง 100 เปอร์เซ็นต์ รับผิดคนเดียว ไม่อยากให้ใครกล่าวหาจอยเรื่องมีชู้ ตอนนี้เราหย่ากันแต่มีความสุขกว่าตอนคบกันอีกคุยกันได้ทุกเรื่อง รู้สึกดีกว่าตอนเป็นผัวเมียกันอีกนี่คือรักแท้ที่มีให้กัน ที่ผมมาชี้แจงเพราะเป็นทุกข์ ตอนนี้ได้ชี้แจงหายทุกข์แล้ว ขอให้เข้าใจว่าเราสามคนยังรักและดูแลกัน อยากให้เข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องในครอบครัว ไม่อยากให้มาวิพากษ์วิจารณ์ไรมาก ระวังกรรมนั้นจะกลับไปหาคุณนะ"
"ตอนนี้สภาพจิตใจดีขึ้นครับผม จอยเองก็ดีมาก แต่กระทบจากคนในสังคมออนไลน์ทั้งหลายกล่าวหาเนื่องจากเขาไม่ทราบว่า เราได้ตกลงกันแล้วว่าเราได้มีการขอแยกทางกันมาก่อนแล้ว แต่เรื่องมันก็คาราคาซังเพราะผมไม่มีโอกาสออกมาอธิบายจนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมา เลยทำให้แอลลี่กับจอยนั้นไม่สบายใจ ผมเองก็ไม่สบายใจด้วย เรื่องทั้งหมดมันเกิดมาจากผม ในการที่ทุ่มเทให้กับงานมากให้สำเร็จ เพื่อที่จะได้รายได้มาก เพื่อความสบายให้กับคนที่อยู่รอบข้าง แต่กลับกลายเป็นว่าไปคิดใหญ่โตเลยเถิด ถึงเรื่องหนี้สินที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า ว่าสิ่งที่หวังไว้มันไม่ได้คิดไว้ตามดังที่หวัง
"อีกประเด็นหนึ่งคือไม่อยากให้จอยเข้ามารับภาระหนี้ อย่างที่สองคือเรื่องของความไม่เข้าใจกัน หลังจากที่แต่งงานแล้ว จอยได้เข้ามาช่วยดูแลธุรกิจของผม ก็มีปัญหาเกิดขึ้นในการทำงานและเป็นปัญหาสะสมในการไม่เข้าใจ ไม่พูดคุยอธิบายเพราะเราไม่มีการพูดคุยหรืออธิบาย แม้ว่าบางครั้งจะเคลียร์ไปแล้วแต่เมื่อทะเลาะกันเมื่อไหร่เราก็มักขุดปัญหานี้ขึ้นมาพูดมาทะเลาะกันอีก ทำให้เรามีปฏิสัมพันธ์น้อยลงและเกิดระยะห่างมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นทางออกเราจึงคิดว่าการหย่า เป็นการแก้ไขที่ดีที่สุดที่จะจบปัญหาที่สั่งสมมานาน 13 ปี"
"จริงๆ เรามีทรัพย์สินกันอยู่นะครับ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน เป็นรถยนต์ แต่ที่ผมตัดสินใจขายไปเป็นเพราะว่า ผมจะไปทำธุรกิจที่นี่ดีมั้ย ที่บุรีรัมย์ เกิดการคิดว่าอยากจะขายบ้านเพื่อชำระหนี้สินที่ติดค้างใครไว้นะครับ แล้วก็เป็นเงินลงทุนต่อไปและก็จะได้ไปซื้อคอนโดที่ใกล้ๆกับจอย เพื่อที่จะแบ่งเบาภาระของจอยบ้างในการที่ตื่นเช้าตีห้า เตรียมมาส่งแอลลี่ กลับมานอนและไปทำงานต่อ หนี้ก็ไม่เท่าไรหรอกครับ ประมาณ 7 ล้านบาท แต่ตอนนี้มีเพื่อนมาซื้อไว้ทั้งบ้านและรถหมดเลย เขาก็ให้เราอยู่ไปก่อน ขายไปทั้งหมดประมาณ 25 ล้าน แต่มีติดแบงก์อีก 8 ล้าน พอจ่ายแล้วก็เหลือเลยคิดว่าจะเก็บไว้เป็นทุนการศึกษาให้ลูก แต่เพื่อนก็ดีนะครับว่าให้อยู่ และจะทำธุรกิจกับเพื่อนและมีโอกาสได้ทำงานต่อไป"
"ส่วนหน้าที่การดูแลลูก วันนี้คุณจอยจะพาแอลลี่มาที่บ้าน พาลูกมาอยู่กับผม พรุ่งนี้วันพ่อเดี๋ยวพาไปเที่ยว ตอนนี้ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกว่าเดิม ไปหาจอยที่บ้านปรึกษากันตลอดเหมือนเดิม ความรู้สึกดีกว่าเดิมด้วยซ้ำเรื่องโอกาสกลับมาคืนดีอันนี้ยังตอบไม่ได้ ผมคิดว่าเป็นเรื่องของอนาคต ผมก็จะมีความหวังเล็กๆอยู่ในใจว่าถ้าเขาดี เขาจะกลับมา ถ้าเราไม่ดีเขาก็จะไปจากเรา น้องแอลลี่เขาก็ดีใจครับเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน 3 คน เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่มีคุณค่ามากๆ ดีกว่าตอนที่เจอกันทุกวันแล้วเราไม่ได้รู้สึกดีต่อกัน แต่อย่างนี้มันมีความสบายใจที่จะอยู่และเป็นอย่างนี้ก็เป็นอย่างนี้ไปก่อน เพราะชะตาชีวิตคาดเดาอะไรไม่ได้"
"ตอนนี้ไม่เปิดรับใครครับ เพราะตอนนี้อยากทำงานก่อน ผมยังสามารถดูแลตัวเองได้ ดังนั้นไม่ต้องหวง ส่วนจอยจะมีใครก็เป็นสิทธิ์ของเขาเต็มที่ ขอให้เธอสบายใจที่สุด ลูกสบายใจที่สุดแค่นั้นพอแล้วครับ รู้สึกไม่ยึดติดอะไรทั้งนั้น ช่วงมรสุมชีวิตเข้ามานั้นยอมรับว่ามีจุดเฉี่ยวๆถึงขั้นฆ่าตัวตายนะ แต่ว่าไม่กล้า ดีนะที่ปืนพัง แต่เอาเข้าจริงก็ไม่กล้าหรอก ชีวิตมันยังมีโอกาสอยู่นะ ถึงมันจะล้มเหลวอย่างที่สุด แต่ก็มีโอกาสเยอะกว่าคนอื่นมาก มีใครที่รักอีกเยอะเลย ช่วงที่ผ่านมาถึงว่าชีวิตมันดีนะ ถ้ามันสุขอย่างเดียวก็เพลินไป ถ้าไม่ทุกข์ก็จะไม่รู้ถึงคุณค่าของความสุขว่ามันขนาดไหน ผมไม่เสียดายเวลาที่ดีๆที่ผ่านมาเลยครับ รู้สึกดีที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นด้วยซ้ำ มันเป็นการปรับความเข้าใจในการดำเนินชีวิตอย่างเข้าใจ ผมยังรักคนนี้ครับและเพิ่งรู้ว่ารักมากด้วย ระยะห่างมันทำให้มองเห็น"
ภาพข่าวจากเฟซบุ๊ก @Amarin Nitibhon


