เรียบร้อยโรงเรียนจีน
ณ เวลานี้ การพัฒนาของประเทศจีนกำลังถูกจับตามองจากประชาคมโลกในหลายๆ ด้าน
ณ เวลานี้ การพัฒนาของประเทศจีนกำลังถูกจับตามองจากประชาคมโลกในหลายๆ ด้าน อันเนื่องมาจากมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และมีความน่าสนใจในหลากหลายมิติ หนึ่งในนั้นคือเรื่อง “การศึกษา” เพราะประเทศนี้มีความเชื่อว่า การมีระบบการศึกษาที่ดีจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะสามารถสร้างคนและสร้างชาติได้อย่างดีเยี่ยม ดังนั้นเพื่อเป็นการพิสูจน์เรื่องนี้ เราจึงลงพื้นที่ไปดูการเรียนการสอนในระดับโรงเรียนของประเทศจีน
ในช่วงที่ผ่านมา หลายๆ ประเทศต่างเผชิญปัญหาด้านการศึกษาที่คล้ายคลึงกันคือ เด็กรุ่นใหม่ไม่นิยมเรียนสายอาชีวะ โดยสาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความเชื่อทางสังคมที่มีต่อการศึกษาสายอาชีวะและค่านิยมตามยุคสมัย ดังนั้นเด็กส่วนใหญ่จึงมุ่งเรียนสายสามัญ ทำให้บัณฑิตที่จบออกมามีความรู้ทางทฤษฎีมากกว่าทักษะในการปฏิบัติงานจริงด้วยเหตุนี้ทางรัฐบาลจีนจึงพยายามส่งเสริมการศึกษาทั้งสายอาชีวะและสายสามัญควบคู่กันไป
คุณวิบูลย์ คูสกุล เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงปักกิ่ง วิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ให้กับเราฟังว่า ปัจจุบันบัณฑิตในสายสามัญเริ่มหางานทำยากขึ้น เพราะมีปริมาณมากและไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ยกเว้นสายวิทยาศาสตร์ จะได้รับโอกาสในการทำงานมากเป็นพิเศษ เนื่องจากตอนนี้จีนมีความต้องการบุคลากรเพื่อมาพัฒนานวัตกรรมเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันรัฐบาลพยายามที่จะส่งเสริมการศึกษาสายอาชีวะมากขึ้น โดยมีการกำหนดนโยบายต่างๆ เพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น การการันตีตำแหน่งเมื่อจบการศึกษา และการอุดหนุนค่าจ้างและสวัสดิการ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้คนอยากเรียนมากขึ้น
สังคมจีนเห็นความสำคัญของการศึกษามาตั้งแต่อดีต และมีการถ่ายทอดวิชาความรู้ผ่านยุคสมัยต่างๆ มานานนับพันปี แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป องค์ความรู้ก็เปลี่ยน วิธีการถ่ายทอดความรู้ก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย จึงหมดยุคที่ครูจะสอนแบบเดิมๆ แล้ว เพราะครูไม่ใช่ผู้ผูกขาดความรู้และนักเรียนไม่ได้มีหน้าที่ท่องจำตำราอีกต่อไป ดังนั้นการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพในยุคนี้ ต้องให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของกระบวนการเรียนรู้ โดยครูทำหน้าที่เป็นเพียง“ผู้ช่วยให้เกิดการเรียนรู้” ควบคู่ไปกับ “การให้คำแนะนำ” เพื่อให้เด็กสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณภาพ การศึกษาของจีนยุคใหม่ก็เช่นกัน ก็กำลังมุ่งเน้น “การส่งเสริม” มากกว่า “การสั่งสอน” โดยเน้นให้เด็กคิดเอง ทำเอง และลงมือปฏิบัติเอง ควบคู่ไปกับการปลูกฝังความรักชาติ
คุณ Zhao Hong ผู้ช่วยครูใหญ่โรงเรียน Beijing New Jinghua บอกกับเราว่า สิ่งสำคัญในการวางรากฐานการศึกษาที่ดีคือ จะต้องสอนให้เด็กเข้าใจและภาคภูมิใจในการเป็นชนชาติจีน ซึ่งจะทำให้เด็กๆ รู้สึกหวงแหนเอกลักษณ์และวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของชนชาติจีน ในขณะเดียวกันก็ไม่ปิดกั้นองค์ความรู้ใหม่ๆ และขนบธรรมเนียมความเป็นสากล ดังนั้นหลักสูตรการเรียนการสอนที่นี่ จึงได้รับการออกแบบจากผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านการศึกษาชั้นนำของประเทศ เพื่อต้องการให้เด็กๆ มีความพร้อมเข้าสู่ความเป็นสากลมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องภาษาต่างประเทศ และส่งเสริมกระบวนการคิดที่เป็นของตัวเอง
นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังมีอีกหลายโรงเรียนที่ประยุกต์เอาหลักสูตรการเรียนการสอนสมัยใหม่เข้าไปกับหลักปรัชญาของจีน ดังเช่นที่โรงเรียนอนุบาลจิ้นซง ในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งคุณครู Tong Min Jie บอกกับเราว่า การเรียนการสอนวิชาการนั้น ควรจะเริ่มต้นในระดับประถมมากกว่าระดับอนุบาล เพราะเด็กในวัยนี้ ควรจะใช้กิจกรรมต่างๆ เพื่อเสริมบุคลิกภาพและมารยาทที่ดีเสียก่อน ด้วยการใช้หลัก Child Center ซึ่งหน้าที่ของครูในโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้ คือการสังเกตพฤติกรรมเด็ก เพื่อประเมินในสิ่งที่เด็กขาดหรือเกิน แล้วจึงนำไปพัฒนาเด็กเป็นรายบุคคลต่อไป สำหรับในส่วนของครูพละอย่างคุณ Zhou Hui เขาบอกว่า สิ่งจำเป็นสำหรับเด็กวัยนี้ คือการใช้กิจกรรมสนุกต่างๆ เพื่อฝึกทักษะสมอง ไหวพริบ และกิจกรรมที่ส่งเสริมทางด้านสุขภาพ ซึ่งทุกกิจกรรมจะต้องสอดแทรกหลักปรัชญาของจีนเข้าไปด้วย ได้แก่ สวีเหยียน คือความซื่อสัตว์และความกล้าแสดงออก, สวีหยิง คือความประพฤติดีและรู้จักบุญคุณคน, สวีซือ คือการรู้จัก แก้ปัญหาและค้นคว้าศึกษา, สวีจื้อ คือความรับผิดชอบและมีเป้าหมาย
จากโครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ หรือที่เรียกว่า PISA ซึ่งนักเรียนจากเซี่ยงไฮ้ ทำคะแนนได้สูงเป็น อันดับต้นๆ ของโลก ทำให้ ภาพลักษณ์ของประเทศนี้ ยิ่งดูโดดเด่นมากขึ้น และ ทำให้หลายๆ คน สนใจวิธีการเรียน การสอนของจีนมากขึ้น แม้ว่าผลคะแนน ดังกล่าว จะไม่ได้เป็นเครื่องการันตีคุณภาพของเด็กจีนทั้งประเทศ แต่นั่นก็สะท้อนให้เห็นว่า คุณภาพการศึกษาของจีนในยุคนี้ก็ไม่แพ้ชาติใดเช่นกัน คุณบุษกร พฤกษพงศ์ กงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้ เล่าถึงเรื่องราวนี้ให้กับทีมงานฟังว่า จีนเข้าร่วมโครงการนี้ครั้งแรกในปี 2009 ซึ่งนักเรียนจีนสามารถทำคะแนนสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกได้เพียงบางวิชาเท่านั้น แต่ผลการประเมินในปี 2012 จีนสามารถทำคะแนนสูงสุดได้เกือบทุกรายวิชา โดยโรงเรียนที่ถูก คัดเลือกให้ไปร่วมได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้าเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น เพราะทางรัฐบาลต้องการรู้ว่าโรงเรียนเหล่านั้น มีจุดแข็งจุดอ่อนอย่างไร
นอกเหนือจากคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์แล้ว สังคมจีนยุคใหม่ยังให้ความสำคัญกับภาษาต่างชาติมากขึ้น เพราะทุกคนเข้าใจดีว่า ภาษาคือเครื่องมือหลักที่จะช่วยเปิดประตู ไปสู่ความเป็นสากลมากขึ้น ดังนั้นจึงมีโรงเรียนมากมายหลายแห่งในประเทศจีนที่ปรับโครงสร้าง หลักสูตรให้เน้นด้านภาษามากยิ่งขึ้น ดังเช่นที่โรงเรียน Shanghai Ganquan Foreign Languages Middle School ซึ่งคุณ Chen Nini ครูใหญ่ของโรงเรียนเล่าถึงแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรด้านภาษาให้กับเราฟังว่า เพราะภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสารพื้นฐานสำคัญ ในการสร้างความเข้าใจกันระหว่างของมนุษย์ ซึ่งการมีความเข้าใจภาษาต่างๆ นั้น มีส่วนสำคัญที่ทำให้ประเทศจีนสามารถพัฒนาด้านเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้ทัดเทียมนานาประเทศ และการรู้ภาษาต่างๆ ยังเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างโอกาสทางธุรกิจของจีนกับคู่ค้าประเทศต่างๆ ทั่วโลก ดังนั้น พ่อแม่ชาวจีนยุคนี้จึงเคี่ยวเข็ญให้บุตรหลานเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมากกว่า 1 ภาษาขึ้นไป
แม้ว่าจีนจะส่งเสริมขีดความสามารถด้านการเรียนรู้ที่หลากหลาย ซึ่งแต่ละโรงเรียนอาจมีหลักสูตรที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกโรงเรียนต้องพยายามผลิตนักเรียนที่มีความสมบูรณ์ คือต้องมีทั้งสติปัญญาดี มีศีลธรรม มีความรับผิดชอบ มีสุขภาพแข็งแรง และมีความขยันขันแข็ง ความพิเศษของระบบการศึกษาจีนที่เราได้เรียนรู้ไปในวันนี้ คงเป็นเรื่องของแนวคิดแบบใหม่ ที่ใช้ ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และวิธีการส่งเสริมทักษะที่จำเป็น เพื่อให้เด็กพร้อมก้าวสู่ความเป็นสากล อย่างไรก็ตาม จีนก็ยังไม่ลืมที่จะปลูกฝังจิตสำนึก และค่านิยมรักชาติเข้าไปในตัวผู้เรียน พร้อมๆ กับพัฒนาบุคลิกภาพและสุขภาพของเด็กๆ เพื่อให้เด็กเหล่านั้นเติบโตเป็นคนจีนยุคใหม่ที่มีความสมบูรณ์ในทุกด้าน


