posttoday

มาเองไม่ได้นิมนต์

19 ตุลาคม 2557

เมื่อวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา โพสต์ทูเดย์นำเสนอข่าวสมาชิกเฟซบุ๊กคนหนึ่งเกิดข้องใจเกี่ยวกับการที่มีพระมายืนสวดมนต์ที่หน้าประตูบ้าน โดยได้เผยแพร่คลิปที่เจ้าของบ้านได้ถ่ายไว้ด้วย ภายในคลิปเผยให้เห็นพระ 2 รูป กำลังยืนสวดมนต์อยู่หน้าบ้านทั้งที่เจ้าของบ้านไม่ได้นิมนต์

เมื่อวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา โพสต์ทูเดย์นำเสนอข่าวสมาชิกเฟซบุ๊กคนหนึ่งเกิดข้องใจเกี่ยวกับการที่มีพระมายืนสวดมนต์ที่หน้าประตูบ้าน โดยได้เผยแพร่คลิปที่เจ้าของบ้านได้ถ่ายไว้ด้วย ภายในคลิปเผยให้เห็นพระ 2 รูป กำลังยืนสวดมนต์อยู่หน้าบ้านทั้งที่เจ้าของบ้านไม่ได้นิมนต์

สมาชิกเฟซบุ๊กท่านนี้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการที่พระมาทำแบบนี้เป็นการกดดันให้ทำบุญหรือเปล่า และเธอก็ให้คุณแม่ออกไปใส่บาตรเพื่อตัดความรำคาญ

ภายหลังเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ ผู้คนต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นในมุมมองที่ต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่มองว่าการที่พระท่านเดินมาให้ทำบุญถึงหน้าบ้านถือเป็นเรื่องที่ดี บางคนแสดงความเห็นในเชิงตำหนิเจ้าของคลิปทำไม่เหมาะสมที่เอาคลิปนี้มาเผยแพร่เหมือนต้องการแฉพระ มองว่าเป็นคนที่ไร้น้ำใจ ไม่รู้จักทำบุญ

ขณะที่เฟซบุ๊กชื่อ พระมนัส ชนาสโภ ได้โพสต์แสดงความเห็นต่อคลิปดังกล่าวว่า เป็นเรื่องของมุมมองมากกว่า พระท่านทำกิจของสงฆ์ จะใส่หรือไม่ใส่อยู่ที่เรา ไม่ผิด และวันนั้นก็เป็นวันพระ ส่งเสริมพระพุทธศาสนาด้านบวก ที่ดีมีเยอะกว่าไม่ดี สร้างกรรมดีก็ดีกว่าสร้างกรรมไม่ดี

ผมขอเล่าเรื่องแบบนี้ให้ฟังซึ่งเกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล

ในสมัยพระพุทธเจ้าโคดมองค์ล่าสุดนี่แหละ มีชายเข็ญใจผู้หนึ่งชื่อ “กากวฬิยะ” ต้องทำงานหนักตลอดทั้งวันจนไม่มีเวลาที่จะนึกถึงบุญกุศลอะไรทั้งสิ้น

วันหนึ่งภรรยาเขาเตรียมต้มข้าวกับผักดองรวมกันเป็นข้าวยาคูเปรี้ยวเพื่อจะให้เขากิน และวันนั้นพระมหากัสสปเถระ พระพุทธสาวกองค์สำคัญได้ออกจากนิโรธสมาบัติพอดี และมีกรุณาจิตที่จะสงเคราะห์คนยากจน

แล้วท่านก็พิจารณาถึงบุคคลที่เข้าข่ายที่ควรแก่การที่ท่านจะสงเคราะห์ให้เขาได้รับบุญกุศลก็คือ “กากวฬิยะกับภรรยา” ทั้งสองเป็นผู้สมควรจักได้รับการอนุเคราะห์มากกว่าผู้อื่น จากนั้นก็ครองผ้าถือบาตรเดินมุ่งหน้าไปยังเรือนของกากวฬิยะและยืนอยู่ใกล้กับประตูเรือน และวันนั้นภรรยาของเขาออกมาจากประตูเรือนอันคร่ำคร่า

ครั้นเห็นพระเถระมายืนบิณฑบาตอยู่หน้าบ้านตนผู้เป็นคนเข็ญใจเช่นนั้นก็เกิดปีติศรัทธาใคร่จะถวายข้าวยาคูเปรี้ยวที่ต้มเอาไว้เพื่อสามีซึ่งออกไปทำงานนอกบ้าน

ทันใดที่เกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า นางจึงรีบออกมาจากเรือนรับเอาบาตรของพระเถระเข้าไปในเรือนใส่ข้าวยาคูเปรี้ยวลงจนหมดหม้อ ไม่ได้แบ่งปันไว้ให้สามีเลย เสร็จแล้วก็น้อมนำเอาบาตรมาถวายคืนด้วยจิตเบิกบาน

พระเถระพอรับเอาบาตรและกล่าวคำอนุโมทนาแล้วก็เดินกลับไปสู่วิหาร น้อมนำเอาข้าวยาคูเปรี้ยวนั้นไปถวายแด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกต่อหนึ่ง แล้วพระพุทธองค์เมื่อรับเอาแล้วทรงให้แบ่งแก่พระภิกษุทุกรูปที่อยู่ในวิหารนั้น

เมื่อพระภิกษุสงฆ์ซึ่งมีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นประธานฉันข้าวยาคูเปรี้ยวของคนเข็ญใจอยู่ด้วยความอนุเคราะห์นั้น กากวฬิยะรู้ว่าภรรยามีศรัทธาถวายอาหารอันเป็นส่วนของตนให้แก่พระมหากัสสปะก็ดีใจสุดประมาณและตามมาจนถึงวิหารในขณะที่พระสงฆ์ฉันเสร็จพอดี เขาจึงมีโอกาสได้กินอาหารส่วนที่เหลือจากพระฉันด้วย

เพื่อยังความปราโมทย์ให้เกิดขึ้นแก่คนเข็ญใจ พระมหากัสสปะจึงกราบทูลถามพระบรมศาสดาต่อหน้ากากวฬิยะว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภรรยาของกากวฬิยะมีศรัทธาถวายบิณฑบาตแก่ข้าพระองค์ ต่อมาเมื่อกากวฬิยะทราบข่าวก็มีจิตยินดีในสิ่งที่ภรรยาทำ อานิสงส์แห่งทานของเขาทั้งสองในครั้งนี้จักมีประการใด

พระพุทธเจ้าตรัสว่า กัสสปะ นับแต่วันนี้ไปได้ 7 วัน กากวฬิยะจักได้ฉัตรสำหรับเศรษฐี เขาจักได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเศรษฐีจากพระราชาพิมพิสาร

กากวฬิยะได้ฟังดังนั้นพลันน้ำตาไหล ได้ถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและถวายนมัสการแด่พระมหากัสสปเถระและภิกษุทั้งหลายกลับไปบ้าน บอกความที่พระพุทธองค์ได้ตรัสพยากรณ์นั้นแก่ภรรยา และ 7 วันต่อมาเขาได้รับแต่งตั้งเป็นเศรษฐี

เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยพระพุทธเจ้า ซึ่งผมอยากจะบอกว่า การที่พระมหากัสสปะไปยืนอยู่หน้าบ้านของกากวฬิยะนั้นเป็นความตั้งใจของท่านที่อยากจะช่วยเหลือให้โอกาสสองสามีภรรยาได้ทำบุญเพราะในชีวิตของเขาไม่เคยทำบุญสักครั้ง

อย่าลืมว่า พระมหากัสสปะท่านเป็นพระอรหันต์ ไม่มีกิเลสในใจแล้ว ท่านเป็นพระที่แท้จริง ฉะนั้นการกระทำของท่านจึงไม่ได้เป็นการรบกวนกากวฬิยะแน่นอน

อนึ่ง การที่ท่านเลือกจะสงเคราะห์กากวฬิยะและภรรยาของเขานั้น เพราะท่านมองเห็นว่าทั้งคู่มีศรัทธาอย่างยิ่งยวด และพร้อมที่จะทำบุญในวันนั้น แม้ว่าเมื่อทำแล้วตัวเองจะไม่มีกินก็ตาม เมื่อเห็นคุณสมบัติที่พรั่งพร้อมของทั้งสองจึงไปโปรดถึงประตูบ้าน

ทั้งนี้ ถ้าท่านเห็นว่า ภรรยาเขาพร้อมคนเดียว แต่สามีไม่เอาด้วยคือสามีกลับมาบ้านแล้วไม่มีข้าวกินแล้วไปด่าภรรยาทำไมทำอย่างนี้ มีเรื่องมีราวกัน ท่านไม่ไปสงเคราะห์แน่นอน

ฉะนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ถ้ามองในแง่ดีก็คือมีพระมาโปรด แต่ยุคสมัยปัจจุบันหลายอย่างเปลี่ยนไป ทำให้สามารถมองได้หลายแบบทั้งในแง่บวกและลบ

แต่กรณีนี้พระเองควรพิจารณาว่าควรหรือไม่ที่ไปทำอย่างนั้น เพราะมีการสวดมนต์อยู่หน้าบ้านทั้งที่เจ้าของบ้านไม่ได้นิมนต์ ดูออกจะเป็นการกดดันเจ้าของบ้านไปหน่อยนะครับ

ทางที่ดีอย่าไปทำอย่างนั้นเลยพระคุณท่าน ถ้าเจ้าของบ้านอยากทำบุญเขาก็คงกระวีกระวาดเองแหละ n
มาเองไม่ได้นิมนต์

เมื่อวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา โพสต์ทูเดย์นำเสนอข่าวสมาชิกเฟซบุ๊กคนหนึ่งเกิดข้องใจเกี่ยวกับการที่มีพระมายืนสวดมนต์ที่หน้าประตูบ้าน โดยได้เผยแพร่คลิปที่เจ้าของบ้านได้ถ่ายไว้ด้วย ภายในคลิปเผยให้เห็นพระ 2 รูป กำลังยืนสวดมนต์อยู่หน้าบ้านทั้งที่เจ้าของบ้านไม่ได้นิมนต์

สมาชิกเฟซบุ๊กท่านนี้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการที่พระมาทำแบบนี้เป็นการกดดันให้ทำบุญหรือเปล่า และเธอก็ให้คุณแม่ออกไปใส่บาตรเพื่อตัดความรำคาญ

ภายหลังเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ ผู้คนต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นในมุมมองที่ต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่มองว่าการที่พระท่านเดินมาให้ทำบุญถึงหน้าบ้านถือเป็นเรื่องที่ดี บางคนแสดงความเห็นในเชิงตำหนิเจ้าของคลิปทำไม่เหมาะสมที่เอาคลิปนี้มาเผยแพร่เหมือนต้องการแฉพระ มองว่าเป็นคนที่ไร้น้ำใจ ไม่รู้จักทำบุญ

ขณะที่เฟซบุ๊กชื่อ พระมนัส ชนาสโภ ได้โพสต์แสดงความเห็นต่อคลิปดังกล่าวว่า เป็นเรื่องของมุมมองมากกว่า พระท่านทำกิจของสงฆ์ จะใส่หรือไม่ใส่อยู่ที่เรา ไม่ผิด และวันนั้นก็เป็นวันพระ ส่งเสริมพระพุทธศาสนาด้านบวก ที่ดีมีเยอะกว่าไม่ดี สร้างกรรมดีก็ดีกว่าสร้างกรรมไม่ดี

ผมขอเล่าเรื่องแบบนี้ให้ฟังซึ่งเกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล

ในสมัยพระพุทธเจ้าโคดมองค์ล่าสุดนี่แหละ มีชายเข็ญใจผู้หนึ่งชื่อ “กากวฬิยะ” ต้องทำงานหนักตลอดทั้งวันจนไม่มีเวลาที่จะนึกถึงบุญกุศลอะไรทั้งสิ้น

วันหนึ่งภรรยาเขาเตรียมต้มข้าวกับผักดองรวมกันเป็นข้าวยาคูเปรี้ยวเพื่อจะให้เขากิน และวันนั้นพระมหากัสสปเถระ พระพุทธสาวกองค์สำคัญได้ออกจากนิโรธสมาบัติพอดี และมีกรุณาจิตที่จะสงเคราะห์คนยากจน

แล้วท่านก็พิจารณาถึงบุคคลที่เข้าข่ายที่ควรแก่การที่ท่านจะสงเคราะห์ให้เขาได้รับบุญกุศลก็คือ “กากวฬิยะกับภรรยา” ทั้งสองเป็นผู้สมควรจักได้รับการอนุเคราะห์มากกว่าผู้อื่น จากนั้นก็ครองผ้าถือบาตรเดินมุ่งหน้าไปยังเรือนของกากวฬิยะและยืนอยู่ใกล้กับประตูเรือน และวันนั้นภรรยาของเขาออกมาจากประตูเรือนอันคร่ำคร่า

ครั้นเห็นพระเถระมายืนบิณฑบาตอยู่หน้าบ้านตนผู้เป็นคนเข็ญใจเช่นนั้นก็เกิดปีติศรัทธาใคร่จะถวายข้าวยาคูเปรี้ยวที่ต้มเอาไว้เพื่อสามีซึ่งออกไปทำงานนอกบ้าน

ทันใดที่เกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า นางจึงรีบออกมาจากเรือนรับเอาบาตรของพระเถระเข้าไปในเรือนใส่ข้าวยาคูเปรี้ยวลงจนหมดหม้อ ไม่ได้แบ่งปันไว้ให้สามีเลย เสร็จแล้วก็น้อมนำเอาบาตรมาถวายคืนด้วยจิตเบิกบาน

พระเถระพอรับเอาบาตรและกล่าวคำอนุโมทนาแล้วก็เดินกลับไปสู่วิหาร น้อมนำเอาข้าวยาคูเปรี้ยวนั้นไปถวายแด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกต่อหนึ่ง แล้วพระพุทธองค์เมื่อรับเอาแล้วทรงให้แบ่งแก่พระภิกษุทุกรูปที่อยู่ในวิหารนั้น

เมื่อพระภิกษุสงฆ์ซึ่งมีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นประธานฉันข้าวยาคูเปรี้ยวของคนเข็ญใจอยู่ด้วยความอนุเคราะห์นั้น กากวฬิยะรู้ว่าภรรยามีศรัทธาถวายอาหารอันเป็นส่วนของตนให้แก่พระมหากัสสปะก็ดีใจสุดประมาณและตามมาจนถึงวิหารในขณะที่พระสงฆ์ฉันเสร็จพอดี เขาจึงมีโอกาสได้กินอาหารส่วนที่เหลือจากพระฉันด้วย

เพื่อยังความปราโมทย์ให้เกิดขึ้นแก่คนเข็ญใจ พระมหากัสสปะจึงกราบทูลถามพระบรมศาสดาต่อหน้ากากวฬิยะว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภรรยาของกากวฬิยะมีศรัทธาถวายบิณฑบาตแก่ข้าพระองค์ ต่อมาเมื่อกากวฬิยะทราบข่าวก็มีจิตยินดีในสิ่งที่ภรรยาทำ อานิสงส์แห่งทานของเขาทั้งสองในครั้งนี้จักมีประการใด

พระพุทธเจ้าตรัสว่า กัสสปะ นับแต่วันนี้ไปได้ 7 วัน กากวฬิยะจักได้ฉัตรสำหรับเศรษฐี เขาจักได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเศรษฐีจากพระราชาพิมพิสาร

กากวฬิยะได้ฟังดังนั้นพลันน้ำตาไหล ได้ถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและถวายนมัสการแด่พระมหากัสสปเถระและภิกษุทั้งหลายกลับไปบ้าน บอกความที่พระพุทธองค์ได้ตรัสพยากรณ์นั้นแก่ภรรยา และ 7 วันต่อมาเขาได้รับแต่งตั้งเป็นเศรษฐี

เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยพระพุทธเจ้า ซึ่งผมอยากจะบอกว่า การที่พระมหากัสสปะไปยืนอยู่หน้าบ้านของกากวฬิยะนั้นเป็นความตั้งใจของท่านที่อยากจะช่วยเหลือให้โอกาสสองสามีภรรยาได้ทำบุญเพราะในชีวิตของเขาไม่เคยทำบุญสักครั้ง

อย่าลืมว่า พระมหากัสสปะท่านเป็นพระอรหันต์ ไม่มีกิเลสในใจแล้ว ท่านเป็นพระที่แท้จริง ฉะนั้นการกระทำของท่านจึงไม่ได้เป็นการรบกวนกากวฬิยะแน่นอน

อนึ่ง การที่ท่านเลือกจะสงเคราะห์กากวฬิยะและภรรยาของเขานั้น เพราะท่านมองเห็นว่าทั้งคู่มีศรัทธาอย่างยิ่งยวด และพร้อมที่จะทำบุญในวันนั้น แม้ว่าเมื่อทำแล้วตัวเองจะไม่มีกินก็ตาม เมื่อเห็นคุณสมบัติที่พรั่งพร้อมของทั้งสองจึงไปโปรดถึงประตูบ้าน

ทั้งนี้ ถ้าท่านเห็นว่า ภรรยาเขาพร้อมคนเดียว แต่สามีไม่เอาด้วยคือสามีกลับมาบ้านแล้วไม่มีข้าวกินแล้วไปด่าภรรยาทำไมทำอย่างนี้ มีเรื่องมีราวกัน ท่านไม่ไปสงเคราะห์แน่นอน

ฉะนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ถ้ามองในแง่ดีก็คือมีพระมาโปรด แต่ยุคสมัยปัจจุบันหลายอย่างเปลี่ยนไป ทำให้สามารถมองได้หลายแบบทั้งในแง่บวกและลบ

แต่กรณีนี้พระเองควรพิจารณาว่าควรหรือไม่ที่ไปทำอย่างนั้น เพราะมีการสวดมนต์อยู่หน้าบ้านทั้งที่เจ้าของบ้านไม่ได้นิมนต์ ดูออกจะเป็นการกดดันเจ้าของบ้านไปหน่อยนะครับ

ทางที่ดีอย่าไปทำอย่างนั้นเลยพระคุณท่าน ถ้าเจ้าของบ้านอยากทำบุญเขาก็คงกระวีกระวาดเองแหละ

ข่าวล่าสุด

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันเสาร์ที่ 13 ธ.ค. 68