ฟีเจอริ่ง ‘ลูกทุ่ง’ สูตรไม่ลับเพลงดัง
ไม่ว่าคอเพลงแนวไหน ตอนนี้ต้องรู้จักชื่อ “หญิงลี” (ธิดารัตน์ ศรีจุมพล) นอกจากชื่อเสียงดังเป็นพลุแตกที่มาพร้อมกับเพลง “ขอใจเธอแลกเบอร์โทร”
โดย...นกขุนทอง
ไม่ว่าคอเพลงแนวไหน ตอนนี้ต้องรู้จักชื่อ “หญิงลี” (ธิดารัตน์ ศรีจุมพล) นอกจากชื่อเสียงดังเป็นพลุแตกที่มาพร้อมกับเพลง “ขอใจเธอแลกเบอร์โทร” ส่งให้หญิงลีกลายเป็นนักร้องหมอลำ (ซิ่ง) พุ่งแรง มูลค่าเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว คิวทัวร์คอนเสิร์ตยาวเหยียดถึงปีหน้ากันเลยทีเดียว
ล่าสุดมีผลงานเพลง “นัมเบอร์วัน” ที่เป็นการเชื่อม 2 แนวดนตรี หญิงลีมาฟีเจอริ่ง (Featuring) กับศิลปินอาร์แอนด์บี “แบงค์ แคช” (ปรีติ บารมีอนันต์) เป็นอีกหนึ่งสีสันให้กับวงการเพลง ซึ่งตอนนี้ยอดวิวในยูทูบ 6 ล้านกว่า ขึ้นชาร์ตเพลงฮอตไปทันที
การมาพบกันของ 2 ศิลปินต่างแนวเพลง โดยเฉพาะศิลปินที่มาฟีเจอริ่งเป็นฝั่งแนวเพลงลูกทุ่งหมอลำ ในวงการเพลงบ้านเราไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ใหม่ เพราะมีออกมาให้ได้เห็นกันอยู่เป็นระยะๆ ที่ได้รับการตอบรับที่ดี และกลายเป็นกระแสในช่วงนั้นๆ ไล่ว่าตั้งแต่เพลง “มาทำไม” ของ “เบิร์ด ธงไชยจินตหรา พูนลาภ” ที่นอกจากเพลงดังแล้ว งานโชว์จากเพลงนี้ยังดังยาวกันข้ามปี
ทิ้งช่วงห่างมาหน่อยก็มีเพลง “คิดฮอด” ของ “บอดี้สแลมศิริพร อำไพพงษ์” และถี่ขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเพลง “รักต้องเปิด (แน่นอก)” ของ “ทรี.ทรู.วัน.ใบเตย อาร์สยาม” เพลง “ภูมิแพ้กรุงเทพ” ของ “ป้างนครินทร์ กิ่งศักดิ์ตั๊กแตน ชลดา” ที่ฮิตและดังโดนใจไปทั้งชาวร็อกและคอเพลงลูกทุ่ง
เหล่านี้คือ เพลงดัง คนดัง...ข้ามพรมแดนดนตรี
หลังจากที่ยุบวง “แคลช” นักร้องนำ “แบงค์” ก็ออกมาบินเดี่ยวพร้อมกับเบนแนวเพลงจากร็อกมาเป็นอาร์แอนด์บี เดินตามทางที่ชอบและอยากทำมานาน พร้อมใช้ชื่อว่า “แบงค์ แคช” สังกัดค่ายดั๊กบาร์
“มาถึงจุดหนึ่งคนทำงานเพลงก็อยากจะทำอะไรใหม่ๆ หาอะไรใหม่ๆ ให้กับตัวเอง” แบงค์ กล่าว
เพลง “นัมเบอร์วัน” ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานที่ (แปลก) ใหม่ของแบงค์ โดยได้โชว์ฝีมือเต็ม ทั้งร่วมโปรดิวซ์ เขียนเนื้อร้องและทำนองเอง และนำเสนอดนตรีในแบบอีดีเอ็ม (อิเล็กทรอนิกส์แดนซ์มิวสิค) เติมความเป็นหมอลำลงไป และหญิงลีคือสีสันที่ลงตัว ที่มาชวนแฟนๆ ให้แดนซ์ให้เซิ้งกันมันส์สุดๆ
“ผมยังไม่เคยฟีเจอริ่งกับนักร้องหญิงเลย พอจะทำซิงเกิ้ลใหม่ก็อยากหาอะไรใหม่ๆ น่าจะลองทำกับผู้หญิงดู แล้วใครล่ะที่จะเข้ากัน ถ้าเป็นหญิงลีล่ะ เออ มันสนุกตั้งแต่ได้ศิลปินมาเลยนะ แบงค์ แคช กับหญิงลีจะออกมายังไง มันน่าจะสนุกแน่ๆ
“เราคิดในมุมโปรดิวเซอร์ งานเพลงมัน 2 ขั้ว ตอนแรกปวดหัวเลย จะทำยังไงให้มันลงตัว เขียนเพลงยังไง ดนตรีแบบไหน แบงค์ แคช เป็นอาร์แอนด์บี ฮิปฮอป อีกคนหมอลำ ผมต้องไปหาเพลงหมอลำมาฟัง ร้องยังไง จังหวะแบบไหน คนฟังเพลงหมอลำแล้วมีอาการความรู้สึกยังไง เราจะใส่อะไรลงไปให้ดนตรียังมีอยู่ได้ทั้งสองแนว มาลงตัวที่อีดีเอ็ม เราจับประเด็นว่าทำให้ดนตรีของเราก้าวทันกระแสโลก ซึ่งตอนนี้ทางตะวันตกแนวดนตรีนี้มีมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่บ้านเรายังถือว่าใหม่อยู่ และนึกถึงความเป็นตะวันตกเวลาเพลงสนุกๆ เขาแดนซ์กัน พออีสานก็คือเซิ้ง เอาตะวันตกกับอีสานมารวมกันก็เป็นอีดีเอ็ม เป็นสองสิ่งที่โคจรมาพบกันอย่างเป็นอิสระและเข้ากันได้”
เมื่อได้แนวทางดนตรี การทำทำนองนั้นไม่ยาก แต่บทบาทหนักมาอยู่ที่เนื้อร้อง ซึ่งแบงค์ไม่สันทัดภาษาอีสานและคำร้องแบบหมอลำ “หญิงลีต้องมาร้องในดนตรีแบบแบงค์ แคช แต่เราก็ยังอยากให้มีความเป็นตะวันออกไทยอีสานอยู่ในเพลง ผมต้องศึกษา อย่างคำว่า เด้ออ้ายเด้อ เด้ออ้ายเด้อ เด้อๆ อ้ายเด้อ ก็เป็นท่อนจำของหมอลำอยู่แล้ว หรือยาว ยาว ยาว ยาว ยาว ล่ะว่ายาวๆ ล่ะว่ายาวๆ อีกท่อนร้อง โฮๆๆ ก็จะเป็นการโห่แบบงานบุญบั้งไฟ ได้ยินเมโลดี้นี้คนฟังสนุกกันแน่ ซึ่งตรงนี้ก็ได้ไอเดียจากหญิงลีเป็นคนใส่ให้ จากนั้นเราก็มายากกันที่การร้องหน่อย อย่างหญิงลีไม่เคยร้องเพลงที่มีภาษาอังกฤษอยู่ เขาก็ไม่ค่อยมั่นใจในการร้อง ก็ถามเราตลอด เราก็แนะนำจนออกมาลงตัว”
การทำงานเพลงข้ามสายพันธุ์ แบงค์คิดว่าเป็นผลงานอีกชิ้นโบแดงในห้องทดลอง “3 วัน มีคนดู 1 ล้านวิวในยูทูบ ผมรู้สึกว่า เฮ้ย เพลงมันไปได้นี่หว่า มันเหมือนเราทำงานทดลองในห้องวิทยาศาสตร์ สร้างงานแนวนี้ขึ้นมา เราทำได้แต่ไม่รู้ว่าคนไทยจะรับได้ไหม จะชอบไหม แต่กระแสตอบรับดีมาก ก็ดีใจ ผมทำเพลงนี้รู้สึกเรามีอิสรภาพทางดนตรี และเพลงนี้ก็พิสูจน์ว่า แบงค์ แคช ไม่ได้เป็นศิลปินที่หัวสูง งานเพลงสัมผัสได้ยากกว่าเดิม แต่งานนี้ได้เห็นส่วนหนึ่งที่เราเป็น
“เพลงนัมเบอร์วันเกิดมาจากหญิงลีด้วยส่วนหนึ่ง เพราะตอนนี้ถ้านึกถึงนักร้องหญิงลูกทุ่งหมอลำ เขานัมเบอร์วันทั้งประเทศ เพลงเขาก็ติดชาร์ตอันดับหนึ่ง และผลงานเพลงผมเองหลายๆ เพลงก็เคยเป็นอันดับหนึ่ง และที่สำคัญเรานึกถึงแฟนเพลงซึ่งมาเป็นนัมเบอร์วันเลยครับ ผมไม่มีสูตรอะไรที่คิดว่าทำแล้วเพลงดังแน่ๆ แต่เราเอาความชอบของเราใส่ไปก่อน เอาข้อดีของทั้งสองทางมาใส่ อย่างเพลงหมอลำคนฟังจะรู้สึกสนุกๆ อยากลุกขึ้นมาเซิ้ง เพลงเราต้องเอนจอย ฟังแล้วให้เขารู้สึกอยากขยับลุกขึ้นมาเต้น”
ด้านหมอลำคิวทองหญิงลี เล่าถึงการมาทำงานร่วมกับแบงค์เป็นครั้งแรกว่า “ดีใจมากเลยค่ะ เพราะเป็นแฟนเพลงพี่แบงค์ด้วย พี่แบงค์เก่งมากค่ะ เพราะว่าเขาร่วมเป็นโปรดิวเซอร์เองเลย ทำออกมาได้ลงตัวค่ะ ส่วนเอ็มวีก็อลังการมาก เพราะใช้แดนเซอร์เป็นร้อยชีวิตเลยนะคะ ตัวหญิงลีเองก็มีลุคที่เปลี่ยนไป หวังว่าทุกคนจะชอบ มีไปซ้อมเต้นแบบแปลกๆ ใหม่ๆ เห็นแล้วรับรองต้องลุกขึ้นเต้นตามแน่นอนค่ะ”
เพลง “รักต้องเปิด (แน่นอก)” ของ “ทรี.ทรู.วัน.ใบเตย อาร์สยาม” เป็นอีกหนึ่งงานที่ศิลปินต้องการก้าวข้ามพรมแดนของเพลง และต้องการสร้างความใหม่ให้เกิดขึ้น
“ทีเจจิรายุทธ ผโลประการ” หนึ่งในศิลปินวงทรี.ทรู.วัน. ที่รับหน้าที่ทำดนตรี “โจทย์การรวมตัวของ 2 ศิลปินที่มีความต่างกัน เกิดจากเฮีย (เฮียฮ้อสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์) อยากได้แนวเพลงใหม่ๆ เรากับทีมงานแต่งเพลง 10 คน ก็มาประชุมกันว่าแนวไหนยังไงดี ผมทำดนตรีก็ออกมาแนวอิเล็กทรอนิกส์ผสมความเป็นไทย ลูกทุ่งเข้าไป และจากประสบการณ์การเล่นคอนเสิร์ตของวงทรี.ทรู.วัน. ไม่ค่อยมีเพลงสนุกๆ แล้วเข้าถึงคนได้ยาก มาถึงงานนี้จึงต้องการความสนุก ฟังแล้วให้คนรู้สึกอยากเต้นก่อนเลย แล้วลูกทุ่งเป็นแนวเพลงที่อยู่ในสายเลือดคนไทย เป็นเพลงที่สนุกอยู่แล้ว วงเราเป็นแนวฮิปฮอปที่ใส่สีสันความเป็นไทยลงไปอยู่แล้ว เพลงจึงออกมาลงตัว เป็นสีสันของงานเพลงในช่วงนั้นหน่อย องค์ประกอบหลายๆ อย่าง เวลาทำให้เพลงประสบความสำเร็จ”
ดังตามกระแส มาเดี๋ยวก็ไป ..?
การนำนักร้อง 2 แนวเพลงมาทำงานเพลงร่วมกัน ไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ ทว่ากลายเป็นกระแสที่ปลุกความคึกคักให้แก่วงการเพลงได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพราะยังมีอีกหลายผลงานที่นำนักร้องลูกทุ่งมาฟีเจอริ่งกับดนตรีแนวอื่นแต่ก็แป้ก ทั้งนี้มีองค์ประกอบทั้งตัวศิลปิน การโปรโมท ค่ายเพลง ความสดใหม่ จังหวะเวลา เพราะแม้จะศิลปินคนเดียวกันแต่เปลี่ยนคู่ก็ร่วงได้
“เปิ้ล–หัทยา วงษ์กระจ่าง” กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินดิเพ็นเดนท์ คอมมิวนิเคชั่น เน็ทเวอร์ค ที่คร่ำหวอดในวงการเพลงวิทยุมานานกว่า 30 ปี ให้มุมมองเกี่ยวกับการนำนักร้องลูกทุ่งหมอลำมาฟีเจอริ่งกับแนวเพลงอื่นๆ ว่า
“เป็นเรื่องของความแปลกใหม่ทางด้านซาวด์ดนตรีที่มีการผสมผสานกันได้อย่างลงตัว เพราะคนสมัยนี้ต้องการอะไรใหม่ๆ บวกกับมิวสิควิดีโอหรือท่าเต้นโดนๆ ออกมาด้วย ยิ่งทำให้กระแสดังขึ้นไปอีก เพลงเขาก็คงโดนใจทั้งฐานแฟนคลับทางฝั่งเพลงสตริงเองด้วย แล้วก็ฝั่งเพลงลูกทุ่งอีกด้วย
“ทำออกมาคงแป้กยาก เพราะศิลปินแต่ละคนที่เขาจับมาคู่กัน แต่ละคนก็มีชื่อเสียงกันดีอยู่แล้ว และมีฐานแฟนคลับอีกด้วย ยิ่งทำให้เพลงดังขึ้นมากไปอีกจากการนำตัวท็อปมาเจอกัน
จะพูดว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่ก็ได้นะ เพราะการนำดนตรีแบบต่างขั้วมารวมตัวกันมักไม่ค่อยเกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้ แต่ถ้าตอนนี้พอเริ่มมีคนทำแล้วดัง ก็จะมีคนทำตามกันมากขึ้น คราวนี้คนฟังก็อาจจะเริ่มเบื่อหรือว่าไม่อินแล้ว ท้ายสุดเพลงเหล่านี้ก็จะไม่แปลกใหม่ล่ะ แล้วก็กลายเป็นเพียงแค่สีสันในที่สุด”
ด้าน “เอพีราวุธ สว่างวิทย์” บรรณาธิการนิตยสารลูกทุ่งสตาร์ นักจัดรายการวิทยุลูกทุ่ง มีประสบการณ์กว่า 15 ปี ปัจจุบันจัดคลื่นสบายดี เรดิโอเน็ตเวิร์ค พิธีกรรายการโอ้โหลูกทุ่ง ช่องไทยไชโย ให้ความเห็นถึงกระแสเพลงแนวนี้ว่า
“ถ้าในคลื่นวิทยุที่เปิดเพลงลูกทุ่งจริงๆ เพลงแนวนี้จะไม่เปิดกันเพราะไม่ใช่เพลงลูกทุ่ง เป็นการเชื่อมต่อทางดนตรี แต่อย่างคลื่นเพลงที่เปิดเพลงในกระแส หรือคลื่นวิทยุชุมชนตามต่างจังหวัด ไม่แบ่งแนวเพลงชัดเจน เขาก็เปิดเพลงแบบนี้กัน แฟนเพลงก็มีโทรเข้ามาขอ ดีเจก็มีการพูดถึง เพราะมันเป็นที่สนใจในกระแส ไม่พูดถึงก็ตกกระแส อย่างเพลงภูมิแพ้กรุงเทพนี้เปิดกันเยอะมาก ตอนนี้เพลงลูกทุ่งชัดๆ มันหาน้อยมาก มันถูกจับมาผสมกันหมด แล้วทุกคนอยากพูดถึงสิ่งใหม่ๆ อย่างเพลงนัมเบอร์วัน หญิงลีร้องด้วยนิดเดียว คนยังจำไม่ได้เลยว่าร้องอะไร แต่มียอดวิวเป็นล้าน ดีเจก็ต้องหามาเปิด
“ถ้ามีเพลงแนวนี้ออกมาในวงการเพลงลูกทุ่งก็มีตื่นเต้น พูดถึงอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่เพลงที่นำมาเปิดบ่อยๆ เป็นเพลงที่ 36 เดือนก็หายไป ถ้าเทียบกับเพลงลูกทุ่งจริงๆ เขาอยู่ได้เป็นสิบยี่สิบปี อย่างเพลงคนดังลืมหลังควาย เพลงอื่นๆ ของพุ่มพวงก็ยังถูกขออยู่ตลอด มีคนนำมาร้องใหม่อยู่เรื่อยๆ แต่เพลงพวกนี้เป็นกระแส เกิดขึ้นประเดี๋ยวประด๋าวก็จะหายไป เรียกว่าเป็นสีสัน”
การมาเจอกันของศิลปิน 2 แนว เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ทางการตลาดประชาสัมพันธ์“การทำแบบนี้มีแผนการตลาดชัดเจน ศิลปินที่มาเขามองอยู่แล้วว่าจะเพิ่มมูลค่าอะไรได้บ้าง ต่อยอดอะไรได้อีก อย่างหญิงลีทำอะไรได้มากกว่านี้ไหม เขามองไปในอนาคต จะทำให้เป็นสีสัน ในมุมมองของผม ทุกวันนี้หญิงลีมีมูลค่ามาก ถ้าเป็นตัวเล็กก็ไม่เสี่ยงทำ เพราะใช้เงินเยอะ ต้องมีแผนการตลาด การโปรโมทที่ชัดเจน เขาไม่ได้วางแค่ออกขายอัลบั้ม แต่เป็นงานโชว์ กลุ่มคนฟังก็คนละกลุ่มเหมือนเดิม อย่างศิริพรร้องกับบอดี้สแลม เวลาไปทัวร์คอนเสิร์ตเขาก็ร้องกับลูกวง ไม่ได้ร้องกับบอดี้สแลม แต่เพลงนี้ต้องร้องเพราะคนอยากฟัง”
10 ปีที่จัดรายการวิทยุมา“ดีเจตุ๊กตา–อินทิรา แดงจำรูญ”แห่ง 103.5 เอฟเอ็ม วัน บอกว่า การที่ศิลปินแนวสตริงฟีเจอริ่งกับนักร้องลูกทุ่งเป็นอีกความคึกคักหนึ่งบนหน้าปัดวิทยุ
“คิดว่ามันเป็นสีสัน ความแตกต่างที่ลงตัว บางทีเวลาเราฟังเพลงแนวใดแนวหนึ่ง เราก็อาจจะชอบเพลงแนวนี้ แต่ว่าอาจจะไม่ได้สร้างสีสันได้เยอะ หรือว่าเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ แต่การที่เอา 2 แนวต่างขั้วมารวมตัวกัน มันง่ายต่อการจดจำ และง่ายต่อการสร้างสีสันให้คนพูดถึง แต่กระแสเพลงแนวนี้อยู่บนคลื่นได้เพียงชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น มันอาจจะดังได้แค่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ว่าไม่ยืนยาวที่จะกลายเป็นเพลงที่อยู่ในใจคนได้ ก็คิดว่าอยู่ที่คอนเซ็ปต์ อยู่ที่ความความพิถีพิถันของการรวมตัวของศิลปินมากกว่า”
ตอนนี้หลายคนกำลังคลิกไปฟังเพลง“นัมเบอร์วัน”และลืมไปแล้วว่าเคยมีเพลง“มาทำไม”บางคนอาจยังจำเพลง“คิดฮอด”ได้อยู่ บทเพลงก็เป็นอีกวัฏจักรหนึ่ง มาแล้วก็ไป ทว่าบทเพลงดีมีคุณภาพก็จะอยู่ในความทรงจำได้นาน แต่นับจากนี้หากจะมีนักร้องลูกทุ่งมาฟีเจอริ่งกับศิลปินแนวที่แตกต่าง การทำงานเพลงคงไม่ง่ายแล้วล่ะ ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นสีสันให้ต่างจากของเดิมที่เคยๆ มี


