รถคลาสสิกสุดรักของ กิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา
ผู้ชายมักจะมีของสะสมอยู่ไม่กี่อย่างที่เด่นๆ ก็พระเครื่อง นาฬิกา รถ แต่ถ้าเป็นรถแล้วละก็ ร้อยละ 90
โดย...อณุสรา ทองอุไร ภาพ กิจจา อภิชนรจเรข
ผู้ชายมักจะมีของสะสมอยู่ไม่กี่อย่างที่เด่นๆ ก็พระเครื่อง นาฬิกา รถ แต่ถ้าเป็นรถแล้วละก็ ร้อยละ 90 เรื่องรถนี่ถือว่าเป็นของคู่กันจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นรถจริง รถโมเดล รถใหม่หรือจะรถเก่า ต้องมีสักอย่างละที่คุณหนุ่มทั้งหลายจะต้องสะสมเอาไว้ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับเขาคนนี้ กิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) เรียกว่าเป็นอินเนอร์มาจากข้างในเลยทีเดียว เขาบอกว่ามีความชัดเจนเป็นอย่างยิ่งในเรื่องรถนี่นะ ชอบไปหมด จะรถเก่า รถใหม่ รถแข่ง รถบังคับ ล้วนเป็นที่สร้างความสุขใจให้เขาอย่างยิ่งยวด
ชอบรถเป็นชีวิตจิตใจ...
เขาบอกว่าชอบรถมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนเด็กๆ ก็ต้องเล่นรถเป็นธรรมดา พวกรถของเล่นนั่นแหละ พอโตเป็นหนุ่มก็เป็นพวกโมเดลรถ เขาเลือกเรียนวิศวเครื่องกลเพราะจะได้รู้กลไกภายในของมันว่าประกอบมาจากอะไรยังไง พอเริ่มทำงานก็เป็นรถบังคับวิทยุทั้งหลาย พอเป็นหนุ่มฉกรรจ์ก็เริ่มสะสมรถคลาสสิก ตอนนี้รถเก่ามีอยู่ประมาณ 5 คัน โดยเริ่มสะสมมาอย่างจริงจังเมื่อ 11 ปีที่ผ่านมา
โดยเขาจะชอบรถเล็กๆ แนวสปอร์ตหรือกึ่งสปอร์ต ไม่จำเป็นต้องเป็นรถซูเปอร์คาร์ราคาแพง แล้วแต่ความชอบขณะนั้นๆ “จะชอบรถที่มีความเป็นมา มีประวัติศาสตร์ มีตำนาน ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าต้องเป็นยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้ ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาที่ได้ไปเห็นหรือฟังความเป็นมาว่าเขามีตำนานอะไรมายังไง และที่สำคัญก็คือกำลังซื้อขณะนั้นๆ ด้วยว่าตอนนั้นมีงบเพียงพอไหม แพงไป เกินกำลังผมก็จะไม่ซื้อ” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
กิตติพล บอกว่าเขาชอบรถเกียร์ธรรมดาเพราะขับสนุกกว่า ชอบรถที่ขับเคลื่อนล้อหลัง โดยคันแรกที่เขาซื้อก็คืออัลฟ่าโรมิโอ จูเลีย GTV ปี 1966 เป็นรถกึ่งสปอร์ตคันเล็กน่าขับมาก ได้มาแบบฟลุกเหมือนเคยบ่นกับเพื่อนหรือคนรู้จักว่าชอบรถยี่ห้อนี้ รุ่นนี้ อยู่ๆ วันหนึ่งก็มีคนโทรมาบอกว่ามีรุ่นนี้อยู่ สนใจไหม เขาก็ไปดูเห็นแล้วก็ชอบใจ ซื้อมาแบบเป็นซากมาเลยในราคาแสนกว่าบาท เสร็จแล้วเขาก็มาบูรณะซ่อมแซมเอง ไปหาซื้ออะไหล่เองทำไปเรื่อยๆ ตอนวันหยุดทำเองทุกอย่างไม่รีบร้อนเบ็ดเสร็จใช้เวลาตบแต่งอยู่เกือบ 8 ปี ก็หมดไปหลายแสนบาท ตกแต่งเสร็จก็เอาไปประกวดรถคลาสสิกเมื่อหลายปีก่อนก็ได้รางวัลที่ 1 มา ทุกวันนี้ก็ยังเอามาขับเล่นวันหยุดบ่อยๆ
ส่วนคันที่สองที่เขาได้มาก็เป็นรถในฝันของเขาเหมือนกัน เป็นสปอร์ตปอร์เช่ รุ่น 911 ปี 1969 ตอนได้มาก็สภาพค่อนข้างดี เจ้าของเขาดูแลรักษาเอาไว้ดี สภาพดีใช้ได้ เขาตกแต่งมาแล้วนิดหน่อย เขาใช้อะไหล่แท้หมดเลย คันนี้ซื้อมาเกือบ 10 ปี ราคาตอนนั้น 1.6 ล้านบาท แล้วมาตกแต่งใหม่อีก 34 แสนบาท จนสภาพดีขับจริงไปไหนมาไหนได้ตลอดเลย เบ็ดเสร็จหมดไป 2 ล้านกว่าบาท บางวันก็ขับไปทำงาน ถ้าไม่ต้องไปประชุมที่ไหนหรือไม่ไปดูไซต์งานก็เอาคันนี้ไป คันนี้เป็นคุณพ่อของเพื่อนขายมาให้เขาใช้มาเป็นมือที่ 3 จนตกมาถึงเรา ตอนนี้ราคาซื้อขายในตลาดรถคลาสสิกซื้อขายกันเกือบ 10 ล้านบาท เคยมีคนมาขอซื้อแต่ไม่ขาย เพราะหากขายไปแล้วไม่รู้จะหารุ่นนี้ได้อีกรึเปล่า
“เราสะสมเพราะความชอบเป็นสำคัญ ไม่ได้คิดว่าเป็นการลงทุนหรือเอาไว้เก็งกำไร ซื้อเพราะชอบจริงๆ ถ้าบังเอิญซื้อมาสะสมไว้วันหนึ่งมันราคาขึ้นมาก ผมก็ปลื้มใจแค่นั้นเองว่าเราตาถึง มองการณ์ไกล ก็แค่นั้น เรื่องขายเมื่อราคาขึ้นนั้นไม่ได้วางแผนเรื่องนี้ไว้เลย” เขากล่าวอย่างหนักแน่น
คันที่สามที่เขาได้มาก็คือ รถฟอร์ด สีขาว รุ่นปี 1970 เป็นรถแรลลี่ที่เขานิยมเอาไว้แข่งในยุคนั้น คันนี้ได้มาแบบเหลือเชื่อมาก คือเขาไปอู่ซ่อมรถกับเพื่อนแถวงามวงศ์วาน ยืนคุยกันอยู่ก็เห็นรถคันนี้แล่นผ่านแล้วปิดป้ายขายไว้ข้างหลังรถ แต่เขาจดเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ไม่ทัน ก็เลยวิ่งตามรถ วิ่งจนหอบพอดีรถติดไฟแดงก็ไปเคาะกระจกเรียกเป็นผู้หญิงสาวใหญ่ขับ ก็เรียกจอดแล้วเจรจาซื้อขายกันตอนนั้นเลย
“นึกแล้วก็ขำนะ (หัวเราะ) ผมบอกเราสนใจจะซื้อ เธอบอกอย่าต่อนะ จะขายให้ถูกๆ ผมก็กลั้นใจฟังเลย เธอบอกขาย 2 หมื่น ผมสะดุ้งถอนหายใจเฮือกแล้ววิ่งไปกดเอทีเอ็ม แล้วตามไปที่บ้านเธอ ไปเอาเอกสารอะไรต่างๆ แล้วก็ขับกลับบ้านเลย คันนี้เป็นรุ่นเดียวกับหนังเรื่อง Fast & Furious ที่พระเอกขับเลยนะครับ ผมภูมิใจกับคันนี้มาก แต่ตอนนี้ผมยังซ่อมปรับปรุงไม่เสร็จเลย ตกแต่งอย่างประณีต ไปหาอะไหล่เอง ทำด้วยตัวเองทุกขั้นตอน” เขากล่าวอย่างมีความสุข
คันต่อมาที่ได้ก็คือ ซูบารุ ปี 2000 รุ่น 3 ประตู เขาไปหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต เขาบอกว่ามีในบ้านเราทั้งหมดไม่น่าจะเกิน 10 คัน คันนี้ซื้อมาแพงไปนิด คือราคา 9 แสนบาท รุ่นนี้บ้านเราคนเล่นน้อย แล้วตอนซื้อมาก็สภาพค่อนข้างดีแทบจะไม่ต้องตกแต่งอะไรมากมายนัก คันนี้เขาขับไปทำงานบ่อย
อีกคันหนึ่งก็คือฟอร์ด สีขาว ชมพูเพนต์สีสนิม รุ่นปี 1974 ดูรายการทีวีหนึ่งแล้วเห็นรถคันนี้เขาชอบขายในรายการ ก็เลยเข้าไปสอบถาม ปรากฏว่าเจ้าของเขาขายจริง ในราคา 5 หมื่นบาท ก็ไปซื้อมา สภาพขับได้แทบไม่ต้องทำอะไรใหม่ มอมเซอร์ๆ ดี เขาชอบ รอยสนิมก็ทำขึ้นมานะ ไม่ได้ขึ้นจริง
จากัวร์ รถในฝัน...
“ผมมีรถคลาสสิกในฝันที่อยากได้อยู่อีกคันหนึ่ง คือ จากัวร์มาร์ค 2 สีบรอนซ์ทอง ปี 1960 4 ประตู ถ้าได้รุ่นนี้มาก็ถือว่าเติมเต็มความฝันได้ครบ คงไม่อยากได้คันไหนอีกแล้วล่ะ (หัวเราะ)”
การสะสมรถของเขานั้นถือเป็นความสุขใจมาก วันหยุดก็มาดูแล หาอะไหล่มาตกแต่งแก้ไข ซ่อมบำรุงเอง สร้างสมาธิดีเวลาจดจ่อกับรถตรงหน้า ได้รื้อฟื้นสิ่งที่เรียนมาจะได้ไม่ลืมถอดนั่นใส่นี่สนุกและมีความสุขดี
ตอนนี้ปัญหาของเขาคือไม่มีที่จอด เพราะที่บ้านอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ ก็มีรถที่ใช้จริงของสมาชิกในครอบครัวอีกเกือบ 10 คัน ก็เริ่มแน่นมาก เลยต้องหยุดซื้อรถสักพักจนกว่าจะหาที่จอดได้ ตอนนี้เขามีรถที่ใช้จริงที่เป็นรถใหม่คันเดียวคือโตโยต้าฟอร์จูนเนอร์ เป็นรถดีเซลประหยัดน้ำมัน เป็นรถใหญ่ครบเครื่อง ขับไปทำงานหรือไปดูไซต์งานก่อสร้าง ไปดูที่ เป็นรถออฟโรดที่สมบุกสมบัน ได้ใจดี จะขนของอะไรก็จุดีด้วย
ส่วนรถในฝันที่อยากได้เพื่อใช้งานเป็นรถใหม่คือโฟล์คกอล์ฟ 3 ประตู เป็นรถเล็ก ไม่ใหญ่มาก แต่เป็นรถนำเข้า เขาชอบรถเล็กมีสไตล์
เขายังฝากแนะนำถึงคนที่อยากจะสะสมรถเก่าว่าต้องมีใจรักจริงๆ เพราะรถเก่าอาจจะมีเรื่องจุกจิกเยอะ ต้องใส่ใจดูแล คอยซ่อมคอยเปลี่ยน เขาเองโชคดีที่พอมีความรู้เรื่องรถอยู่บ้าง เลยทำเองเสียเป็นส่วนใหญ่ ถ้าอึกอักเข้าอู่ให้ช่างซ่อมอย่างเดียวละก็ คงใช้งบเยอะทีเดียว
แต่ถ้ามีใจรักแม้จะจุกจิกมีรายละเอียดโน่นนี่ มักจะเป็นความสุขให้เราได้ใส่ใจดูแลเหมือนมีงานอดิเรกให้ทำกันว่าง “ตัวผมเองชอบ ไม่ได้มองว่ามันจุกจิก วันหยุดผมก็ไปเดินหาอะไหล่ มานั่งซ่อมเพลินๆ ใจไป”
ส่วนการดูแลสำหรับเขาไม่มีอะไรพิเศษ ก็คือพยายามเอารถออกมาขับหรือมาสตาร์ทบ่อยๆ กันแบตเตอรี่เสื่อม คอยเปลี่ยนยาง เรื่องอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรมาก ถ้าหม้อน้ำร้อนก็เปลี่ยนหม้อน้ำใหม่ใหญ่ขึ้น เครื่องร้อนก็ติดพัดลมระบายอากาศเพิ่ม เปลี่ยนปั๊มน้ำใหญ่ เครื่องจะได้ไม่ร้อน ระบายอากาศได้ดี
“นอกนั้นก็ไม่มีอะไร ก็ให้เวลากับมีงบประมาณไว้ มีใจรัก ก็คงเพียงพอ” เขากล่าวทิ้งท้ายอย่างมีความสุข


