posttoday

รวยด้วย Start Up

20 กันยายน 2557

สตาร์ทอัพ (Startup) ศัพท์ที่ใช้เรียกผู้ประกอบการเกิดใหม่ที่กำลังกลายเป็นเทรนด์สำหรับการก่อร่างสร้าง

โดย...นันทิยา วรเพชรายุทธ/สุกัญญา สินถิรศักดิ์/จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์

สตาร์ทอัพ (Startup) ศัพท์ที่ใช้เรียกผู้ประกอบการเกิดใหม่ที่กำลังกลายเป็นเทรนด์สำหรับการก่อร่างสร้างตัวของคนรุ่นใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม เพราะไม่ต้องลงทุนอะไรมาก เพียงแค่มีคอมพิวเตอร์ไม่กี่ตัว คนไม่กี่คน หรือจะฉายเดี่ยวก็ไม่ผิดกติกา พร้อมกับใส่ไอเดียที่พลุ่งพล่านอยู่ในหัวเข้าไป ถ้าสิ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นเป็นแอพพลิเคชั่นต่างๆ นานา ตลาดตอบรับ เขาเหล่านั้นก็อาจจะกลายเป็นเศรษฐีได้เพียงแค่ชั่วข้ามคืน

ตัวอย่างของเศรษฐีระดับโลกที่เป็นเจ้าพ่อในวงการไอทีอยู่ในเวลานี้ก็ล้วนเริ่มต้นมาจากสตาร์ทอัพกันเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น บิล เกตส์ แห่งไมโครซอฟท์ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เจ้าของเฟซบุ๊ก หรือแลร์รี่ เพจ จากกูเกิล ล้วนเคยเป็นสตาร์ทอัพมาด้วยกันทั้งสิ้น และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ก่อเกิดสตาร์ทอัพหน้าใหม่แพร่กระจายไปทั่วโลก หนึ่งในนั้นมีบริษัทไอทีหน้าใหม่ “นิซิรา” (Nicira) รวมอยู่ด้วย

“นิซิรา” ได้สร้างปรากฏการณ์ด้วยการรับข้อเสนอซื้อกิจการจากวีเอ็มแวร์ อิงก์ ยักษ์ใหญ่เบอร์ 1 ของโลกด้านเวอร์ชวลไลเซชั่นในวงเงินถึง 1,260 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 4 หมื่นล้านบาท เมื่อปี 2555 หรือในระดับเดียวกันกับ You Tube และ Paypal ทั้งที่เพิ่งก่อตั้งเมื่อปี 2550 จึงนับเป็นความสำเร็จที่คนทั่ววงการซิลิคอน วัลลีย์ ต่างพูดถึง

รวยด้วย Start Up

 

 

โดยเฉพาะ “มาร์ติน คาซาโด” 1 ในผู้ร่วมก่อตั้งนิซิราที่เริ่มต้นขึ้นจากไอเดียวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก ที่เกี่ยวกับการควบคุมระบบเน็ตเวิร์กด้วยซอฟต์แวร์ (SoftwareDefined Network : SDN) ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด

“นิซิราเกิดขึ้นระหว่างที่ผมเรียนปริญญาเอกที่สแตนฟอร์ด ซึ่งผมกำลังหาวิธีอยู่ว่าจะทำอย่างไรให้ระบบเน็ตเวิร์กเป็นเทคโนโลยีที่สามารถรับมือกับปัญหาที่ทันต่อยุคสมัยปัจจุบันได้ดีขึ้น ทั้งปัญหาด้านความปลอดภัย หรือการรองรับข้อมูลจำนวนมาก” คาซาโด ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (ซีทีโอ) ของวีเอ็มแวร์ กล่าวให้สัมภาษณ์นอกรอบระหว่างการร่วมงาน VMWorld 2014 ที่ซานฟรานซิสโก

ความน่าสนใจที่ทำให้สตาร์ทอัพไอทีรายนี้ถูกซื้อตัวไปถึง 4 หมื่นล้านบาท และยังเป็นดีลที่จ่ายด้วยเงินสดเป็นส่วนใหญ่นั่นหมายความว่า บริษัทไอทีแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าบริษัทอื่นๆ หากแต่เป็น “นวัตกรรม” ที่ทำให้ผู้ครอบครองได้เป็นผู้นำตลาดในอนาคต

รวยด้วย Start Up

 

สำหรับผู้บริหารหนุ่มวัย 38 ปีรายนี้ มองอนาคตของวงการไอทีคือ การก้าวข้ามข้อจำกัดของระบบเน็ตเวิร์กที่ยังคงอยู่ในกรอบของฮาร์ดแวร์ ด้วยการใช้ระบบซอฟต์แวร์เข้าไปควบคุม จัดการ และเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบเครือข่ายทั้งหมด หรืออาจเรียกง่ายๆ ได้ว่าเป็นยุคซอฟต์แวร์อัจฉริยะที่สามารถควบคุมได้ทุกอย่าง (SoftwareDefined Everything) ตั้งแต่เซิร์ฟเวอร์ไปจนถึงระบบศูนย์ข้อมูลในบริษัทหรือองค์กรขนาดใหญ่ ที่มีการใช้เซิร์ฟเวอร์หรือข้อมูลเป็นจำนวนมาก เช่น ธุรกิจสายการบิน หรือธนาคาร

แรงบันดาลใจของแนวคิดที่ล้ำหน้าเช่นนี้ ได้มาระหว่างที่คาซาโด เคยทำงานให้กับสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ ในปี 2003 และพบกับปัญหาด้านความปลอดภัยของเครือข่าย จึงนำไปสู่หัวข้อวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับ SDN และทดลองทำ Openflow หรือโครงการวิจัยด้านเครือข่ายที่ออกแบบสวิตช์ให้ฉลาดขึ้นกว่าเดิมและเป็นพื้นฐานของ SDN

ทว่า ที่เจ๋งกว่าการทำไอทีให้สำนักข่าวกรองก็คือ คาซาโดเลือกที่จะต่อยอดแนวคิดนี้ขึ้นมาเป็นบริษัท นิซิรา ในปี 2007 โดยร่วมกับอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์อีก 2 คน คือ นิค แมคคีโอน และสกอต เชนเกอร์ แม้ทั้ง 3 คน จะดูเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีมากกว่านักธุรกิจที่ต้องสวมบทเซลส์แมนขายของ แต่ไอเดียเรื่อง SDN คือนวัตกรรมที่สามารถขายได้ด้วยตัวเอง ทำให้สามารถดึงดูดเงินทุนได้มากพอที่จะเปิดเป็นบริษัทเล็กๆ ขึ้นในซิลิคอน วัลลีย์

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารหนุ่มรายนี้ยอมรับเช่นกันว่า เส้นทางชีวิตไม่ได้มีแต่ความสำเร็จไปเสียทุกด้าน เพราะก่อนจะประสบความสำเร็จจนได้ชื่อว่าเป็นผู้บุกเบิก SDN เขาไม่สามารถทำตามความฝันที่จะเป็นนักฟิสิกส์ได้

รวยด้วย Start Up

 

“ผมเป็นนักฟิสิกส์ที่ล้มเหลว ผมเรียนและทำงานเกี่ยวกับฟิสิกส์มาก่อน แต่ก็ตระหนักได้ว่า ผมคงไม่สามารถเป็นนักฟิสิกส์ที่ดีได้ เลยเปลี่ยนไปเรียนต่อด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์” คาซาโด กล่าวถึงช่วงเริ่มต้นก่อนที่จะเบนเข็มมาเอาดีในวงการไอที

เบน ฮอโรวิทซ์ หนึ่งในนักลงทุนที่เชื่อมั่นในอนาคตของนิซิรา ด้วยการควักเงินส่วนตัวร่วมลงทุน ก่อนจะร่วมกับหุ้นส่วนก่อตั้งเวนเจอร์ ฟันด์ในชื่อ แอนเดรสเซน ฮอโรวิทซ์ และได้อัดเม็ดเงินลงทุนในนิซิรา รวมเป็นเงินถึง 17.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (กว่า 560 ล้านบาท) เคยให้มุมมองที่น่าสนใจกับฟอร์บส์และบิสิเนส อินไซเดอร์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า SDN คืออนาคตของวงการไอที คล้ายกับในช่วงเริ่มต้นก่อนเข้าสู่ยุคเวอร์ชวลไลเซชั่นในปัจจุบัน จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายบริษัทจะเสนอซื้อนิซิรา ทั้งที่เป็นบริษัทใหม่ขนาดเล็กและไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

“การซื้อนิซิราเท่ากับการได้ขึ้นเป็นผู้นำระบบดาต้า เน็ตเวิร์กกิ้ง ใน 20 ปีข้างหน้า” ฮอโรวิทซ์ กล่าว

มหาวิทยาลัยแห่ง Startup

Forbes ได้จัดอันดับมหาวิทยาลัยทั่วทั้งสหรัฐว่าแห่งใดเหมาะกับการเป็นแหล่งบ่มเพาะผู้ประกอบการมากที่สุด โดยอ้างอิงจากการคำนวณอัตราส่วนระหว่างศิษย์เก่านักศึกษา ซึ่งระบุตัวเองว่าเป็นผู้ก่อตั้งและเจ้าของกิจการใน LinkedIn กับจำนวนรวมของนักศึกษาทั้งหมดจนได้เป็นทำเนียบ Startup Schools ที่โดดเด่นของสหรัฐ ยกตัวอย่างเช่น

1.Stanford University

ผู้ประกอบการจากสถาบันการศึกษาแห่งนี้มักจะไม่รอจนตัวเองเรียนจบ หลายคนที่ขอ “ดรอป” หรือเลิกเรียนกลางคันที่มีชื่อเสียงอยู่ในตอนนี้ก็คือ Larry Page และ Sergey Brin แห่ง Google, Jerry Yang และ David Filo ผู้ก่อตั้ง Yahoo!, และเจ้าหนุ่ม Evan Spiegel ซีอีโอและผู้สร้าง Snapchat

2.Massachusetts Institute of Technology

การแข่งขันสร้างแผนธุรกิจ $100K Entrepreneurship Competition ซึ่งดำเนินงานโดยนักศึกษาในสถาบันแห่งนี้ ได้นำมาสู่การก่อตั้งบริษัทมากกว่า 130 แห่ง สร้างงานมากกว่า 2,500 ตำแหน่ง

3.University of California, Berkeley

ในแคมปัสแห่งนี้มีโรงเรียนสำหรับฝึกฝนการเป็นผู้ประกอบการถึงสามแห่ง รวมถึง SkyDeck ซึ่งเป็นการจับมือร่วมกันของสำนักวิจัยประจำมหาวิทยาลัย โรงเรียนบริหารธุรกิจ และคณะวิศวกรรมศาสตร์

4.Cornell University

เครือข่ายผู้ประกอบการ Cornell Entrepreneur Network ก่อตั้งในปี 2001 ได้มีส่วนช่วยเหลือประสานงานกิจการมากมาย ให้กับเครือข่ายของศิษย์เก่า นักศึกษา เจ้าหน้าที่ ผู้ปกครอง และเพื่อนๆ รวมแล้วกว่า 2 หมื่นคน

5.University of California, Los Angeles

มหาวิทยาลัยของรัฐแห่งนี้เพิ่งจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมประจำปี LA Hacks ครั้งที่ 2 ไปเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา มีนักพัฒนาเข้าร่วมถึง 4,000 คน

6.California Institute of Technology

มหาวิทยาลัยที่ Pasadena ซึ่งมีนักศึกษาไม่ถึง 2,300 คน กลับมีศิษย์เก่าและอาจารย์ได้รับรางวัลโนเบลรวมแล้ว 32 คน

7.Brown University

โปรเฟสเซอร์ชื่อดัง Barrett Hazeltine ที่ช่ำชองในการสอนทั้งด้านวิศกรรมศาสตร์และผู้ประกอบการมาครึ่งศตวรรษ สอนประจำที่นี่ รวมทั้งผู้ก่อตั้งธุรกิจเครื่องดื่มชื่อดัง Nantucket Nectars ก็เป็นศิษย์เก่าเช่นกัน

8.Princeton University

Jeff Bezos จบปริญญาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากสถาบันแห่งนี้ สมัยยังเรียนอยู่เขาเป็นประธานชมรม Exploration & Development of Space และยังได้บริจาคเงิน 15 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อก่อตั้งศูนย์วิจัยระบบประสาทอีกด้วย

9.Pepperdine University

มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Churches of Christ โดย Neil Clark Warren ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์หาคู่ชื่อดัง eHarmony เป็นหนึ่งในศิษย์เก่า

10.Dartmouth College

นับตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา Dartmouth’s Entrepreneurial Network (DEN) ได้ให้การสนับสนุนโครงงานด้านธุรกิจและบริษัทต่างๆ รวมแล้วกว่า 500 โปรเจกต์

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา