ดอกกระดาษและม้งดอยอินทนนท์
ส่วนใหญ่เราคุ้นกับชื่อดอกกระดาษ เพราะมักพบอยู่ตามหมู่บ้านม้งบนดอยสูง จ.เชียงใหม่
โดย...ม.ล.จารุพันธ์ ทองแถม
ส่วนใหญ่เราคุ้นกับชื่อดอกกระดาษ เพราะมักพบอยู่ตามหมู่บ้านม้งบนดอยสูง จ.เชียงใหม่ เด็กชาวม้งทั้งในเขตเขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ รวมทั้งอีกหลายดอยในเชียงราย ชาวม้งเก็บเมล็ดดอกกระดาษเอาไว้หลังจากปลูกและเด็ดดอกขาย จากนั้นจึงคัดดอกใหญ่ที่ต้นออกดอกดกไว้ทำพันธุ์ปลูกข้ามปี เด็กม้งเก็บดอกกระดาษตูมมาเสียบก้านไม้กวาดหรือกิ่งไผ่เล็กๆ ทำเป็นกำขายนักท่องเที่ยว ความจริงไม่ได้ดูสวยงามอะไร แต่ดูเหมือนเป็นวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยว ซึ่งจะต้องซื้อหาอะไรสักอย่างกลับไปเป็นของฝาก จึงทำให้สินค้าดอกกระดาษหลายอย่างขายได้ขายดีต่อเนื่องกันมาจนการปลูกดอกกระดาษยืนยงมาจนทุกวันนี้
พฤกษศาสตร์
ดอกกระดาษมาจากพืชล้มลุกฤดูเดียว (Herbaceous annual) วงศ์แอสเตอร์ (Asteraceae) ชื่อทางพฤกษศาสตร์คือ Helicherysum bracteatum ความจริงพืชในวงศ์นี้มีความใหญ่โตกว้างขวางประกอบไปด้วยพืชมากหลายสกุล จาระไนกันไม่หวาดไหว ถิ่นกำเนิดของดอกกระดาษมาจากออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ ซึ่งมีอากาศเหมาะสมคือมีอากาศหนาวเย็นและแห้งไม่มีฝนตกในบางช่วงของปี คงมีฝนบ้างในช่วงการเจริญทางต้นและใบระยะแรกเท่านั้น ความจริงไม้ดอกในวงศ์นี้เป็นญาติใกล้ชิดกับดอกกระดาษคงได้แก่ อานาลิส Anaphalis margaritacea ซึ่งเราเรียกมันว่าดาวเงิน และพบมันได้เป็นกลุ่มบนพื้นที่ผาดินลาดชัน บนพื้นที่ระดับสูงกว่า 1200 ม.ขึ้นไปจนถึง 2500 ม. เกือบถึงยอดดอยอินทนนท์ทีเดียว
ญาติของดอกกระดาษในออสเตรเลียและแอฟริกาใต้แถวเคฟมีอยู่หลายสกุล (Cape) อาทิ อะโครคลิเนียม (Acroclinium) และอื่นๆ แม้แต่ดอกกระดาษในสกุลเดียวกันก็ยังมีอีกหลายชนิด (Species) และอาจพบได้ในเขตอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนในชายฝั่งมหาสมุทรเขตหลายประเทศทั้งในเอเชียและยุโรป
ผู้เขียนได้ชื่อว่าเป็นลูกค้าดอกกระดาษรายใหญ่ที่สุดรายแรกของม้ง ดอยอินทนนท์ เพราะเป็นหัวหน้าโครงการผลิตภัณฑ์ไม้ประดับแห้ง (Dried Flower Section) ในโครงการหลวงมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 คือเมื่อกว่าสามสิบปีมาแล้ว ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มผู้ผลิตดอกกระดาษส่งออกเป็นรายแรกของเมืองไทย ครั้งนั้นคุณทับทิม เลน (Tubtim Lane) ภรรยาของคุณอาลาสแตร์ เลน (Allastair Lane) เป็นผู้จัดการตลาดค้าบุหงาจากโครงการหลวงใส่ลังส่งไปหมักน้ำหอมในบริษัท โกลบอลเคมิเคิล (Global Chemicals) เมืองดีวอน ประเทศอังกฤษ บุหงาที่เราผลิตในเมืองไทยมีส่วนประกอบเป็นดอกไม้แห้งชนิดต่างๆ หลายชนิดที่สำคัญ ขาดไม่ได้คือดอกกระดาษสีเหลือง สีส้ม ปลูกโดยม้งดอยอินทนนท์นี่แหละ
จำได้ดีว่าเรารับซื้อดอกกระดาษโดยทำสัญญาซื้อขายกับม้งล่วงหน้า ในราคาประกัน ซึ่งชาวม้งทำได้อย่างไม่น่าเชื่อ ปีนั้นเราซื้อดอกกระดาษประมาณ 56 ตัน (แห้ง) ทำให้การปลูกดอกไม้บนดอยอินทนนท์คึกคักไม่เบาทีเดียว
เรื่องของบุหงากับดอกไม้แห้งชนิดต่างๆ ของเมืองไทยคงจะยาว เอาไว้เล่าในตอนต่อไปเป็นเรื่องเฉพาะของมันจะดีกว่านะครับ
การปลูกดอกกระดาษโดยม้ง ไม่ได้เป็นเรื่องยุ่งยากอะไร เพราะต้นดอกกระดาษมีความทนทานแข็งแรงอยู่เป็นสายเลือดป่าจากออสเตรเลียอยู่แล้วนั่นเอง ชาวม้งจะเพาะเมล็ดดอกกระดาษในแปลงเพาะซึ่งเตรียมดินอย่างร่วนซุย เติมอินทรียวัตถุคือแกลบสด (เปลือกข้าว) ผสมปุ๋ยคอกคือขี้วัวเก่าหมักจนสลายตัวดีแล้ว พรวนหน้าดินให้คลุกเคล้ากันดี เกลี่ยผิวหน้าแปลงเพาะให้เรียบ หลังจากนั้นจึงโรยเมล็ดลงไปคลุมหน้าแปลงด้วยฟางข้าวบางๆ รดน้ำให้ชุ่มด้วยบัวละเอียด แค่นี้จะได้เห็นเมล็ดกระดาษโผล่ต้นอ่อนออกมารับแสงแดดในเวลาสองสัปดาห์เศษเท่านั้น ต้นดอกกระดาษเติบโตเร็วมากในช่วงสองเดือนแรก ชาวม้งจะทำการเด็ดยอดกล้าอ่อนทิ้ง ซึ่งเรียกวิธีนี้ว่า พิ้นชิ่ง (Pinching) การทำลายยอดอ่อนทิ้ง ทำให้หมดสารเคมี ซึ่งจะไปยับยั้งตาในลำต้นด้านล่าง ทำให้ตาซอกใบด้านล่างลำต้นพัฒนาขึ้นมากลายเป็นต้นดอกกระดาษที่เป็นพุ่มกะทัดรัด สวยงาม และที่สำคัญคือมีดอกดกขึ้นในต้น ซึ่งทำให้เพิ่มผลผลิตดอกกระดาษต่อไรขึ้นได้มาก ผลผลิตดอกกระดาษอาจสูงถึง 6 ตันต่อไร่ก็เป็นได้
ปัญหาสำคัญของดอกกระดาษคือเรื่องของการพัฒนาพันธุ์ให้ได้ดอกกระดาษที่มีความหลากหลาย ทำให้สามารถใช้ประโยชน์ได้กว้างขวาง สร้างผลิตภัณฑ์ดอกไม้ประเภทหัตถกรรม และสามารถทำรายได้จากการผลิตส่งออกได้หลายประเทศ เพราะส่วนใหญ่ลูกค้าอยู่ในยุโรป สหรัฐ และญี่ปุ่น


