ปันปัน-เต็มฟ้า กฤษณายุธ สวย เก่งครบสูตร
เข้ามาโลดแล่นในวงการบันเทิงได้ไม่นาน แต่เวลาเพียงสั้นๆ ปันปันเต็มฟ้า กฤษณายุธ
โดย...พุสดี สิริวัชระเมตตา ภาพ เสกสรร โรจนเมธากุล
เข้ามาโลดแล่นในวงการบันเทิงได้ไม่นาน แต่เวลาเพียงสั้นๆ ปันปันเต็มฟ้า กฤษณายุธ ได้แจ้งเกิดในวงการบันเทิงไทยในฐานะนักแสดงและศิลปินอีกคนของวงการอย่างสวยงาม ล่าสุดปันปันกำลังโลดแล่นในฐานะนักร้องค่ายฟร้อนเทจ ค่ายน้องใหม่ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่
ความสามารถที่หลากหลาย ทั้งการแสดง ร้องเพลง เต้น รวมทั้งดีกรีอดีตนักยิมนาสติกทีมชาติไทย คือเครื่องการันตีว่าสาวน้อยตรงหน้าไม่ได้มาไกลถึงขนาดนี้ด้วยแรงดันของคุณแม่ (แหวนฐิติมา สุตสุนทร) ในฐานะนักร้องชื่อดัง แต่ทั้งหมดมาจากความสามารถที่มีอยู่เปี่ยมล้นของตัวเธอเอง
ก่อนได้มีโอกาสทำความรู้จักกับปันปันแบบจริงจัง ไม่ใช่การอ่านเรื่องราวของเธอผ่านหน้าสื่อ ต้องยอมรับว่า ภาพปันปันในใจคือเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่กำลังดังในหมู่วัยรุ่นเท่านั้น ถามว่าสวยมั้ย แน่นอน แต่ถามว่า สวยครบสูตรหรือไม่ ไม่แน่ใจ ทว่าหลังจากใช้เวลาสั้นๆ ที่ได้ทำความรู้จักปันปันในฐานะนิสิตปี 2 คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สารภาพเลยว่า เธอไม่ธรรมดา
เศรษฐศาสตร์สอนให้คิดเป็นระบบ
ปันปัน บอกว่า ตอนเอนทรานซ์ เธอสอบติด 3 คณะ ได้แก่ อักษรศาสตร์ นิเทศศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วินาทีนั้นคำตอบใจในของปันปัน คือ อักษรศาสตร์ เพราะเธอชอบอ่านวรรณกรรม สนใจด้านภาษา แต่สุดท้าย เพราะได้รับคำแนะนำจากผู้ที่เคารพหลายท่านว่า ประเทศไทยจะเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน (เออีซี) ในอีกไม่กี่ปี เรื่องการค้า การทำธุรกิจน่าจะเป็นสิ่งที่ควรจะให้ความสำคัญหาความรู้ไว้
“หนูเองไม่ได้มีปัญหาเรื่องเลข เพียงแต่ที่ผ่านมาไปโฟกัสกับเรื่องภาษา แต่พอฟังผู้รู้แนะนำเราก็คล้อยตาม เพราะภาษาหนูสามารถไปหาเรียนเสริมภาษาที่สนใจข้างนอกได้ สำหรับนิเทศศาสตร์ ด้วยโอกาสที่เราได้มาทำงานในวงการ ได้เห็นเบื้องหลัง ก็ได้เรียนรู้ไปในตัวอยู่แล้ว แต่เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่ต้องใช้เวลาเรียนรู้ ไม่สามารถไปเรียนที่อื่นได้ หนูเลยตัดสินใจเลือกคณะเศรษฐศาสตร์”
นอกจากจะต้องเลือกคณะที่ใช่และเป็นประโยชน์ในอนาคตที่สุดแล้ว ปันปัน บอกว่า ตอนแรกเธอตั้งใจว่าจะไปเรียนต่อปริญญาตรีที่ต่างประเทศ แต่ด้วยงานในวงการบันเทิงที่รับผิดชอบอยู่ ประกอบกับคุณแม่เป็นห่วงไม่อยากให้ลูกสาวคนเดียวไปเรียนไกลๆ เลยตัดสินใจเรียนที่จุฬาฯ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยในฝัน ว่าอยากจะเข้ามาเรียนตั้งแต่เด็ก เจริญรอยตามคุณแม่ ซึ่งจบจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ
“หนึ่งปีที่ผ่านมา หนูไม่ผิดหวังเลย เศรษฐศาสตร์สอนให้หนูคิดอะไรเป็นระบบ หันมาสนใจข่าวสารที่เป็นประโยชน์ จากแต่ก่อน ถ้ามีข่าวราคาทอง น้ำมัน อัตราแลกเปลี่ยน หนูไม่สนใจเลย แต่พอเรามาเรียนคณะนี้ ทำให้เริ่มสนใจ ซึ่งการที่เรารู้เรื่องพวกนี้ไว้ก็เป็นประโยชน์เหมือนกัน ที่สำคัญได้พื้นฐานด้านการบริหาร เพราะหนูไม่ได้คิดว่าจะเรียนคณะนี้ไปเพื่อไปวิเคราะห์ตลาดหุ้น ทำงานด้านเศรษฐศาสตร์หนัก แต่เรียนเพื่อพัฒนาศักยภาพของตัวเอง”
ทั้งหมดนี้ ปันปันไม่ได้พูดสร้างภาพให้ตัวเองดูดี เพราะเกรดเฉลี่ยในปีแรกของเธอสูงถึง 3.89 แม้ว่าในช่วงแรกจะเกรงกับคำขู่ของอาจารย์ว่า คณะนี้มีดารานักแสดงมาเรียนเป็น 10 แต่จบออกไปแค่ 2 คนเท่านั้น ปันปันบอกถึงเคล็ดลับเรียนดีของเธอว่า เธอไม่ใช่คนเก่งที่เข้าใจอะไรง่ายๆ แต่ทั้งหมดอาศัยความขยัน ใกล้สอบก็ต้องขนหนังสือไปอ่านที่กองถ่าย ไม่มีเวลาทำโน้ตย่อ ก็ต้องทำไมนด์แมป เพื่อช่วยจำแทน
“เคล็ดลับของหนูคือ ต้องมีสมาธิ แยกสมองให้ได้ อย่างเวลาต้องเอาหนังสือไปอ่านที่กองถ่าย หนูจะต้องแยกสมองให้ได้ระหว่างอ่านหนังสือกับบทละคร ไม่เอาความเครียดจากงานทั้งอย่างมาปนกัน เพราะจะทำให้ทำออกมาได้ไม่ดีทั้งสองอย่าง แต่ความยากคือ ทั้งสองอย่างที่ทำต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่เราท่องหนังสือจำให้ได้มากที่สุด แต่การท่องบทละคร ไม่ใช่การจำ ต้องพยายามเข้าใจ แล้วแสดงออกมา ต้องใช้ใจเล่น ที่ผ่านมาด้วยความที่หนูเป็นพวกคิดอะไรเป็นระบบ เลยเล่นละครออกมาแล้วถูกติงว่าแข็งไปบ้าง”
อีกสิ่งที่สำคัญ ปันปัน บอกว่า ต้องพยายามมองโลกในแง่บวก คิดว่าทุกอย่างที่ทำคือการคว้าโอกาส โอกาสไม่ได้ผ่านมาบ่อยๆ เวลาท้อ ก็จะบอกตัวเองให้มองสิ่งต่างในแง่ดี แทนที่จะมานั่งบ่น ดังนั้นนอกจากจะเรียนควบคู่ไปกับการทำงานแล้ว กิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยเธอก็ไม่ทิ้ง ยังสมัครเป็นกลุ่มตัวแทนนิสิตผู้อัญเชิญพระเกี้ยวในงานฟุตบอลประเพณีด้วย
“ถามว่าเหนื่อยมั้ย หนูยอมรับว่าเหนื่อยแต่สนุก ดีกว่าอยู่ว่างๆ ไปวันๆ บางวันว่างไป หนูจะพยายามหาอะไรทำ ลุกขึ้นมาหาอะไรที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง หนูจะถามตัวเองว่าวันนี้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับตัวเองหรือยัง หนูไม่อยากหายใจทิ้งไปวันๆ นอกจากช่วงที่ไปเที่ยวไปพักผ่อน นั่นคือการพักเพื่อให้เวลาตัวเองจริงๆ”
สำหรับแผนในอนาคต ปันปัน บอกว่า ตั้งเป้าเรียนให้จบภายใน 4 ปี ไม่เร่งรีบต้องจบภายใน 3 ปีครึ่ง เพราะเธอให้ความสำคัญกับผลการเรียนมากกว่าเวลาที่ใช้ในการเรียน แต่เป้าหมายที่เธออยากไปให้ถึง คือ จบปริญญารีโดยมีดีกรีว่าเกียรตินิยมอันดับ 1 ไปด้วย
ด้วยความมุ่งมั่นที่ฉายออกมาตลอดการสัมภาษณ์ เชื่อว่าฝันนี้ของปันปันอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม


