posttoday

วินัยทางการเงินสำหรับทุกวัย

30 สิงหาคม 2557

ต้องยอมรับความจริงว่าคนเป็นผู้ใหญ่บางทีก็ไม่ค่อยมีวินัยเรื่องการเงินเท่าไหร่

โดย...เจียรนัย อุตะมะ

โสด

วินัยการเงินของเด็ก

ต้องยอมรับความจริงว่าคนเป็นผู้ใหญ่บางทีก็ไม่ค่อยมีวินัยเรื่องการเงินเท่าไหร่ มีรายได้มาไม่ค่อยได้วางแผน เตลิดเปิดเปิงมากๆ กับการบริหารการเงิน

หลายๆ คนใช้เงินในอนาคต ใช้บัตรเครดิต เป็นหนี้ ติดลบ ซื้อสินค้ากันแบบไม่ได้คิดมาก่อนล่วงหน้า กิเลสมาก็พาเงินในกระเป๋าบินออกไป นี่คือปัญหาของคนเป็นผู้ใหญ่ พอกพูนนิสัยทางการเงินแย่ๆ แก้ไม่หาย สร้างความเดือดร้อนตอนบั้นปลายชีวิต ถ้าวันหนึ่งทางเข้าของรายได้ไม่มี กล่องเงินเก็บว่างเปล่าจะทำอย่างไรเล่า ถ้ารายจ่ายไม่ได้หยุดยังต้องกินต้องใช้

วันนี้มาเรียนรู้เรื่องการบริหารการเงินไปพร้อมๆ กับการสอนเด็กซะเลย ใครที่ตั้งคำถามว่าจะให้เด็กเริ่มต้นเมื่อไร บอกเลยว่าเริ่มต้นได้ตั้งแต่เด็กนับเลขได้บวกลบเลขเป็น ทอนเงินถูกชั้น ป.1 นี่ก็เริ่มต้นได้แล้วล่ะ

อาจารย์รณสิงห์ รือเรือง ท่านได้พูดเรื่องกล่องสามใบในห้องเรียน #เลี้ยงลูกอย่างไรสร้างวินัยเชิงบวก เรื่องการสอนให้ลูกบริหารจัดการค่าขนมเป็นรายสัปดาห์ในเด็กประถม บอกเลยว่ามันดีมากๆ และอยากให้ทุกคนได้ทำ

คำแนะนำที่สำคัญที่สุดคืออย่าสอนให้เด็กเป็นขอทาน ตื่นเช้ามาแบมือขอค่าขนม แล้วเราก็หยิบเงินออกมาวางบนมือแล้วก็ไปโรงเรียน อันนี้แหละจะเป็นปัญหา จะเป็นอย่างนั้น ไปตลอดชีวิต คิดวางแผนบริหารการเงินไม่ได้ การเงินมันต้องสอนให้มีการวางแผนกันตั้งแต่เด็กๆ

อาจารย์แนะนำเรื่องกล่องสามใบไว้

เริ่มต้นสัปดาห์ให้จ่ายเงินให้เด็กเลย เช่น

ตัวอย่าง

กำหนดเงินรายสัปดาห์ไว้ที่สัปดาห์ละ 400 บาท

เอาไปใส่ไว้ในกล่องใบแรก (เงินค่าขนมรายสัปดาห์)

พอคืนวันอาทิตย์ให้เด็กไปเบิกเงินจากกล่องที่ 1 สำหรับค่าขนมที่จะนำไปโรงเรียนในวันจันทร์ ไปเตรียมไว้ในกล่องใบที่สอง (รายการเบิกรายวัน) แล้วให้เด็กลงรายการในสมุดคู่ฝาก (ดูในตัวอย่าง) เบิก 50 บาท พอหลังเลิกเรียนกลับบ้านดูว่าเด็กเหลือเงินเท่าไหร่ ให้ลงรายการในสมุดคู่ฝาก แล้วก็เบิกของวันอังคารต่อไป ทำเช่นนี้ในทุกๆ วันจนครบทั้งสัปดาห์

สิ่งที่ต้องทำคือคอยดูสมุดบันทึกรายการในสมุดคู่ฝากว่าวันไหนเด็กเบิกเงินมากกว่าปกติ ต้องสอบถามว่าพรุ่งนี้เด็กเบิกเงินไปเยอะกว่าปกติเอาไปซื้ออะไร ซึ่งเด็กอาจบอกว่าครูให้ซื้อกระดาษปกรายงานหรือจ่ายค่าอุปกรณ์บางอย่างที่พิเศษ ต้องคอยไถ่ถามเด็กสม่ำเสมอ (เด็กๆ ต้องเรียนรู้เรื่องความจำเป็นของการใช้เงิน เหตุผลในการใช้จ่าย)

สิ้นสัปดาห์วันอาทิตย์สรุปกันหน่อยว่าเด็กเหลือเงินออมเท่าไร นำไปไว้ในกล่องเงินฝาก+เงินสมทบ จากตัวอย่างเด็กเหลือเงินตลอดสัปดาห์อยู่ที่ 115 บาท พ่อแม่ก็อาจสมทบเงินให้เด็กเท่ากับที่เด็กเหลือคือ 115 บาท ทำให้เด็กมีเงินในกล่องใบนี้ถึง 230 บาท ซึ่งเงินนี้พ่อแม่ควรสอนให้ลูกแบ่งเงินสัก 10 เปอร์เซ็นต์เป็นเงินออม แยกออกไปไว้ในกล่องที่สาม (เงินออม) ในตัวอย่างนำเงินออกไปออม 30 บาท นี่จะเป็นการสอนเด็กเรื่องการวางแผนทางการเงินที่ดี

ในกล่องพิเศษ (เงินฝาก+เงินสมทบ) เป็นกล่องที่ให้เด็กตั้งเป้าหมายในสิ่งที่ต้องการสักอย่างเช่น รถบังคับ ของเล่นที่อยากได้ หรืออื่นๆ ให้เป็นการหัดตั้งเป้าหมายวางแผนของพิเศษและให้รู้จักเก็บสะสมเงินเพื่อนำไปซื้อสิ่งที่ต้องการ ไม่ใช่กระทืบเท้าลงไปนอนดิ้นๆ บนห้างเพื่อให้ซื้อให้

วินัยทางการเงินเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญของ #ภูมิชีวิต ที่เด็กควรมีเป็นอุปกรณ์ติดตัวในการดำเนินชีวิต วันนี้คุณมีภูมิชีวิตอะไรที่จะติดตั้งให้กับเด็กกันบ้างแล้ว มากน้อยแค่ไหน และเพียงพอหรือไม่อย่างไร

วินัยทางการเงินสำหรับทุกวัย

 

เกษียณ

วิถีมหาเศรษฐี

วิถีมหาเศรษฐี W. Randall Jones เขียนหนังสือชื่อ The Richest Man In Town โดยการสัมภาษณ์และวิเคราะห์คุณสมบัติ นิสัย แนวความคิด ปรัชญาการใช้ชีวิต และอื่นๆ ของคนที่รวยที่สุดในเมืองต่างๆ ของอเมริกาจำนวน 100 คน เขาพบลักษณะร่วมของคนที่เป็นมหาเศรษฐี 12 ประการ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

1) ไม่หาเงินเพื่อเงิน การทำอย่างนั้นคุณจะไม่ได้เงิน เงินจะมาก็ต่อเมื่อคุณทำในสิ่งที่ถูกต้องและด้วยวิธีที่ถูกต้อง ทำในสิ่งที่คุณรักและมีความหลงใหลที่จะทำ คุณต้องทำในสิ่งที่มีคุณค่าเป็นประโยชน์แล้วเงินจะมาเองมันเป็นผลพลอยได้ ในมุมของนักลงทุนเน้นคุณค่า ผมคิดว่ามันถูกต้องตรงกัน อย่าลงทุนแบบจ้องหาหรือหมกมุ่นกับผลตอบแทนเกินไป มีความสุขกับการลงทุน ทำหรือเลือกลงทุนอย่างถูกต้องเงินจะมาเอง

2) รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร รู้จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง ที่สำคัญต้องรู้ว่าอะไรคือความสามารถหรือความเชี่ยวชาญที่สุดของตัวเอง ถ้าคุณคิดว่าต้องไปทำงานทุกวันนั่นก็ผิดแล้ว งานจะไม่ใช่งานถ้าคุณทำแล้วมีความสุขและเป็นสิ่งที่คุณอยากทำ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยบอกกับซูซี่อดีตภรรยาที่ล่วงลับไปในตอนที่แต่งงานกันใหม่ๆ ว่า เขาจะต้องรวยเหตุผลไม่ใช่เพราะเขาทำงานหนักหรือมีความเก่งเป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะเขาเกิดมาด้วยทักษะที่ถูกต้อง ในสถานที่ที่ถูกต้องและในเวลาที่ถูกต้อง นั่นคือทักษะในการจัดสรรเงินทุนหรือก็คือการลงทุนนั่นเอง

3) เป็นนายของตัวเอง คุณไม่สามารถรวยได้โดยการทำงานให้คนอื่น

4) เสพติดความทะเยอทะยาน คนเราทุกคนต่างก็เสพติดอะไรบางอย่างหรือหลายอย่างในชีวิต เราติดกาแฟ ติดอินเทอร์เน็ต ติดเหล้า ติดเซ็กซ์ ติดอำนาจ เราต้องคิดว่าติดอะไรแล้วจะเป็นประโยชน์ มหาเศรษฐีบอกว่า “ไม่มีความมั่งคั่งถ้าไม่มีความทะเยอทะยาน” ทำอะไรสำเร็จแล้วก็ต้องพยายามทำให้สูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามความทะเยอทะยานนั้นมีด้านมืด มันอาจทำให้เรามีความมั่นใจในตัวเองสูงเกินไปและเป็นอันตราย ความทะเยอทะยานนั้นควรจะมีวัตถุประสงค์ชัดเจนและเราจะต้องไม่ปล่อยให้มันอยู่เหนือการควบคุมของเรา

5) ตื่นเช้ามาถึงก่อน เริ่มตั้งแต่อายุน้อย ในเรื่องของการทำงานทั่วไปและในฐานะของผู้บริหารหรือผู้ประกอบการนั้นผมคิดว่าต้องทำทั้งสามเรื่อง แต่ในเรื่องของการลงทุนนั้นผมคิดว่าการเริ่มตั้งแต่อายุน้อยนั้นเป็นสิ่งที่จะทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงและเป็นเศรษฐีได้ง่ายที่สุด แนวทางข้อนี้ค่อนข้างจะต้องสัมพันธ์กับข้อสอง นั่นคือถ้าคุณสามารถค้นพบตัวเองว่าเก่งทางไหนตั้งแต่อายุน้อย ความสำเร็จก็ไม่หนีไปไหน

6) อย่าตั้งเป้าหมาย ลงมือทำให้สำเร็จทีละน้อย เดินหน้าไปทุกวัน เป้าหมายหรือแผนธุรกิจนั้นพอเขียนเสร็จก็ล้าสมัยแล้ว มหาเศรษฐีบางคนไม่มีแผนธุรกิจและไม่ตั้งแม้แต่เป้ายอดขายด้วยซ้ำ ข้อนี้ฟังดูเหลือเชื่อ ผมคิดว่าเป้าหมายคงอยู่ในใจและเป็นเป้ากว้างๆ ที่จะช่วยบอกทิศทาง พวกเขาเน้นที่การปฏิบัติว่าต้องได้ผลมากกว่าการตั้งเป้าแต่ปฏิบัติไม่สำเร็จ การปฏิบัตินั้น สำคัญกว่าเป้าหมายมาก

7) อย่ากลัวความล้มเหลว ทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จก็คือกล้าที่จะล้มเหลวและล้มเหลวต่อหน้าสาธารณชนด้วย ทุกคนจะต้องเคยล้มเหลวมาบ้างไม่มีใครประสบความสำเร็จตลอดโดยที่ไม่มีความล้มเหลวมาคั่น ถ้าเรากลัวความล้มเหลวเราจะไม่กล้าทำอะไร ว่าที่จริงไม่มีคำว่าล้มเหลวยกเว้นว่าคุณจะเลิก การลงทุนนั้นก็เช่นเดียวกัน ไม่มีทางที่คุณจะประสบความสำเร็จตลอด อย่าเลิกเมื่อขาดทุนหนัก สู้ต่อไป วันหนึ่งเราจะชนะ

8) ทำเลไม่สำคัญ ทำเลที่ว่านี้คือสถานที่ที่คุณอยู่หรือที่ที่คุณทำงาน ไม่ว่าคุณจะอยู่เมืองไหน คุณสามารถประสบความสำเร็จได้ไม่ต้องย้ายไปอยู่เมืองใหญ่หรือเมืองธุรกิจหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันที่เรามีเครือข่ายการสื่อสารที่ทรงประสิทธิภาพ ว่าที่จริงบัฟเฟตต์นั้นอยู่ที่เมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกา ซึ่งเป็นเมืองทางการเกษตรมาตั้งแต่เริ่มธุรกิจลงทุนเมื่อ 50 ปีก่อนที่การสื่อสารยังไม่ดีนัก แทนที่จะอยู่ที่นิวยอร์กหรือบอสตันที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินและการลงทุน

9) ยึดมั่นในจรรยาบรรณทางธุรกิจ นี่เป็นกฎเหล็กที่สำคัญที่สุด วอร์เรน บัฟเฟตต์ พูดว่า “ชื่อเสียงนั้นใช้เวลา 20 ปีในการสร้าง แต่ใช้เวลาแค่ 5 นาทีในการทำลาย ดังนั้นคุณต้องสำนึกไว้ตลอดเวลา”

10) เน้นที่การขาย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกว่าบางสิ่งบางอย่างจะถูกขายออกไป นักลงทุนไม่ได้ขายอะไร แต่ต้องรู้ว่าบริษัทที่เราลงทุนนั้นขายอะไรและการขายเป็นหัวใจของความสำเร็จของบริษัทและเป็นความสำเร็จของราคาหุ้น ในความรู้สึกของผม ผมคิดว่านักลงทุนหุ้นคุณค่าจำนวนมากชอบดูกำไรซึ่งเป็นบรรทัดสุดท้าย แต่ไม่ค่อยดูยอดขายที่เป็นบรรทัดแรกในงบการเงิน

11) ขอยืมความคิดจากคนที่เก่งที่สุดและคนที่แย่ที่สุด การอ่านประวัติและวิธีคิดของคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด อย่างการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้น ผมคิดว่าไม่มีอะไรมาทดแทนได้

12) ไม่มีวันเกษียณ การเกษียณจะทำให้ชีวิตคุณล้มเหลว การเกษียณเป็นอันตรายต่อสุขภาพ การเกษียณเป็นอันตรายต่อความสนุกในชีวิต อันตรายต่อความมั่งคั่งส่วนตัว นักลงทุนไม่มีวันเกษียณ บัฟเฟตต์อายุเกือบ 80 ปีแล้วยังทำงานทุกวัน แม้แต่ ปีเตอร์ ลินช์ หรือ จอห์น เนฟฟ์ ที่เกษียณจากการบริหารกองทุนรวมแต่พวกเขาก็ยังบริหารกองทุนส่วนตัวอยู่

ที่มา : โลกในมุมมองของ Value Investor

ข่าวล่าสุด

ผลบอล โยเคเรสซัดโทษ! อาร์เซน่อล1-0 เอฟเวอร์ตัน,ลิเวอร์พูล 2-1