วรฤทธิ์ ไวยเจียรนัย กับคลับฟรายเดย์ และเลิฟออนแอร์
สืบเนื่องมาจากเมื่อวันจันทร์ที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการจัดแถลงข่าวโดย ฉอดสายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา ในกรณีต่างๆ ที่เกิดขึ้น
โดย...ตุลย์ จตุรภัทร ภาพ ทวีชัย ธวัชปกรณ์
สืบเนื่องมาจากเมื่อวันจันทร์ที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการจัดแถลงข่าวโดย ฉอด-สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา ในกรณีต่างๆ ที่เกิดขึ้น อันเนื่องมาจากเรื่องราวของคุณแอร์กับคุณแม่ ที่ได้ออกอากาศทางรายการคลับฟรายเดย์ และการนำเรื่องราวเหล่านั้นมาทำเป็นซีรี่ส์
วันนี้ เรามาคุยกับคนที่อยู่เบื้องหลังซีรี่ส์ คลับฟรายเดย์ ตั้งแต่ซีซั่นที่ 1 มาจนถึงซีซั่นที่ 4 ที่มีเรื่องปิดซีซั่นคือ หรือรักแท้จะแพ้ความต้องการ ที่เป็นตอนของคุณแอร์กับคุณแม่ที่มีสามีคนเดียวกัน เขาคนนั้นคือ “เอส-วรฤทธิ์ ไวยเจียรนัย” นั่นเอง
“อย่างเรื่องราวของคุณแอร์กับคุณแม่ที่มีสามีคนเดียวกัน มันค่อนข้างโหดร้ายและเป็นประเด็นที่ล่อแหลมทางสังคม แต่สุดท้ายเราก็ไม่อยากโลกสวยว่ามันไม่ได้มีอยู่จริง วัตถุประสงค์ของรายการคลับฟรายเดย์ คือเราอยากสะท้อนให้คนดูได้เห็นเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงในสังคม เพื่อให้คนดูได้เห็นภาพในวันข้างหน้าของตัวเองว่า บางทีเราอาจมีชีวิตเป็นแบบนั้น หากเราทำอย่างนั้น และทำให้เรารู้สึกไม่อยากเป็นแบบนั้น ไม่อยากทำอย่างนั้น เราเชื่อเสมอว่า ไม่ว่าอะไรก็ตาม ถ้ามันเริ่มต้นอย่างไม่ถูกต้อง ตอนจบย่อมไม่สวยงามเสมอ”
เมื่อเราได้ให้วรฤทธิ์ได้พูดถึงวันที่สายทิพย์แถลงข่าว และได้พูดถึงความอัดอั้นกับความตั้งใจดีของการทำรายการ แต่คนบางกลุ่มก็มองความหวังดีเป็นอื่นไป วรฤทธิ์เผยว่า เขาก็รู้สึกเช่นเดียวกับสายทิพย์ ที่ว่าวันนี้สังคมของเรามีคนที่มีความทุกข์และมีปัญหากันเยอะแยะมากมายที่ยังต้องการคนคอยรับฟัง
“ถ้ารายการคลับฟรายเดย์เป็นรายการหนึ่งซึ่งตั้งใจเปิดโอกาสให้คนที่มีความทุกข์ มีปัญหาที่เขาอยากได้คนที่คอยรับฟัง ช่วยแนะนำ ต้องการที่พึ่ง ได้มาพูดมาคุย มาแสดงเรื่องราวของเขาเพื่อที่ให้เราได้เป็นผู้รับฟังและได้มีส่วนเสนอแนะ รวมทั้งช่วยดูแลจิตใจของคนในสังคมนี้ให้ดีได้บ้าง ซีรี่ส์คลับฟรายเดย์ก็ไม่ต่างกัน มันคือวัตถุประสงค์เดียวกัน เรื่องราวจากคนมีความทุกข์ที่โทรศัพท์เข้ามาในรายการแล้วเราเอาเรื่องราวของเขามาทำเป็นซีรี่ส์ ถ้ามองให้ดีมันก็เป็นแค่เรื่องราวพาร์ตหนึ่งในชีวิตของเขาเท่านั้น เขายังต้องดำเนินชีวิตของเขาต่อไป ซีรี่ส์ของเราจึงไม่ขีดเส้นใต้ว่า เมื่อเรื่องจบแบบนั้น มันจะต้องจบแบบนั้นตลอดไป เขาอาจมีชีวิตที่ดีขึ้น หรืออาจแย่ลงไปกว่าเดิม แต่อย่างน้อยที่สุด คนฟังหรือคนที่ได้ดูซีรี่ส์ จะต้องได้ข้อคิดเตือนใจตนเองจากเรื่องราวพาร์ตหนึ่งในชีวิตของคนคนนั้น”
กับประเด็นที่ล่อแหลมทางสังคม และอาจทำร้ายทำลายคำว่า “แม่” ในฐานะผู้ผลิตซีรี่ส์ ทำไมถึงยังหยิบยกเอามาทำเป็นละคร วรฤทธิ์บอกว่า ตนเชื่อว่าไม่มีแม่คนไหนอยากทำร้ายลูก แต่ถูกต้องกับถูกใจ มันอาจไม่ได้ไปด้วยกัน สิ่งที่คุณแม่ทำมันอาจถูกใจ แต่ไม่ถูกต้อง เมื่อไม่ถูกต้องก็คือไม่ถูกต้อง และเขาต้องการสะท้อนความไม่ถูกต้องนี้ให้คนในสังคมได้ตระหนัก เพื่อที่จะช่วยกันรักษาคำว่า “แม่” นี้ไว้ ไม่ให้ไปเกิดขึ้นกับแม่ลูกคู่ใดอีก
“ถามว่า เมื่อเกิดกระแสสังคมขึ้นมากมายตามมา เราจะเลิกทำซีรี่ส์ไปเลยไหม ก็คงเหมือนที่พี่ฉอดตอบไปในวันแถลงข่าวว่า เรายังจะทำหน้าที่ของเราต่อไปครับ”
นอกเหนือจากซีรี่ส์คลับฟรายเดย์ ชายหนุ่มคนนี้ยังมีซิทคอมที่กำลังออกอากาศทางช่องวันอยู่ในขณะนี้ เรื่อง เลิฟออนแอร์ ที่เขาสวมหมวก “ผู้กำกับการแสดง” อีกใบเพิ่มไปบนหัวโดยไม่ได้ตั้งใจ
“หลายคนคงสงสัยว่า เราไม่ได้เป็นคนตลกโปกฮา แต่สามารถทำให้ซิทคอมเรื่องนี้มันตลกและสนุกถูกใจคนดูได้อย่างไร โชคดีที่นักแสดงของเราเป็นน้องๆ ดีเจที่มีคาแรกเตอร์ชัดเจน มันเลยช่วยทำให้เราทำตามภาพที่เราเห็นในหัวได้สนุกมากขึ้น บางครั้งก็ขโมยในสิ่งที่น้องๆ เล่น นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ดึงเสน่ห์ของเขาออกมาให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะทำให้ซิทคอมเรื่องนี้ออกมาให้สนุกที่สุด
หน้าที่ของเราคือทำให้ตัวละครมีน้ำหนัก มีมิติ ไม่มีใครจมใครหาย และพยายามตบให้ทุกคนเดินเข้ามาตามเส้นทางที่เราได้วางเอาไว้ และพากันเดินไปให้ถึงเป้าหมายนั้นๆ จนสำเร็จ แต่อย่างไรก็แล้วแต่ซิทคอมเป็นเรื่องของจังหวะ เราต้องทำให้มันมีจังหวะขึ้นๆ ลงๆ ขึ้นให้ถึง ลงก็ต้องลงให้สวยงาม”
วรฤทธิ์เผยว่า พล็อตเรื่องของซิทคอม เลิฟออนแอร์ เขาสร้างพล็อตแบบกึ่งจริงกึ่งหลอก “เรื่องบางเรื่องเกิดขึ้นจริงกับตัวละครตัวนี้ แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่ใช่ แต่เราก็ใส่เข้าไปในตัวละครตัวนั้น หรือคาแรกเตอร์ของตัวละคร บางอย่างก็จริง บางอย่างเป็นไปตามบทที่วางไว้ ในซีซั่นที่ 2 นี้เรามีแขกรับเชิญมาร่วมแสดงในแต่ละตอนเพื่อสร้างสีสันมากขึ้น แขกรับเชิญแต่ละคนก็คุ้นเคยกันดี ทำงานกับเอไทม์กันหมด ซึ่งเขาก็เล่นเป็นตัวเขาครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งก็เล่นไปตามบท”
ด้วยความที่ซิทคอมเรื่องนี้ถูกสร้างมาแบบไม่มีแพตเทิร์น หรือทำไปตามแบบซิทคอมที่คนไทยคุ้นเคย แต่ที่แน่ๆ เขาเชื่อว่า ความสนุกมันจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ “ที่สำคัญ เรามีดีเจหน้าใหม่อยู่ตลอดเวลา เรียกว่าดีเจของเรามีพัฒนาการเกี่ยวกับความสวยความงามอยู่ตลอดทั้งเรื่องก็ว่าได้ครับ (หัวเราะ)”
ชีวิตมีแต่งาน กับงาน และงาน
“ในช่วงหลายๆ ปีมานี้ มีงานเป็นหลัก เพราะเราได้เริ่มทำอะไรใหม่ๆ เราไม่ได้เก่ง ก็คงต้องพยายามเรียนรู้ให้มากขึ้นๆ 7 วัน ก็ทำงานสัก 6 วัน บางอาทิตย์ก็ครบ 7 วัน บางเดือนก็ทำทุกวัน เราฟิกซ์ไม่ได้ เราทำงานทั้งงานบริหาร งานออกกอง งานเข้าห้องตัด บางงานลากยาวไปถึงเช้า การพักผ่อนคือการนอน แต่ก็พยายามไปดูหนังให้เยอะๆ อย่างน้อยก็เป็นการอัพเดทอะไรใหม่ๆ เมื่อก่อนเป็นคนที่ดูหนังก็คือดูหนัง ให้หนังพาเราไป แต่เดี๋ยวนี้ก็ดูหนังแบบศึกษาวิธีการสร้างหนัง วิธีการเล่าเรื่อง วิธีการแสดง วิธีการตัดต่อ วิธีการสร้างฉากแสงสีเสียง
เราคอยดูองค์ประกอบทั้งหมดของหนัง ไม่ว่าหนังประเภทไหน เราก็ได้เรียนรู้เทคนิคจากสิ่งเหล่านั้น ถามว่าจะก้าวไปสู่การทำหนังมั้ย ไม่ได้วางอนาคตไว้ไกลขนาดนั้น แต่ชีวิตเราต้องมีการเติบโต คลับฟรายเดย์ จุดเริ่มต้นก็มาจากรายการวิทยุ แต่ก็เติบโตเป็นอะไรอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย ปลายทางจะเป็นคลับฟรายเดย์ เดอะ มูวี่มั้ย มันคืออนาคตที่อาจเกิดขึ้นได้จริงครับ”
ความเป็นเอส วรฤทธิ์ ในวันนี้
“เหมือนเราพูดคำว่าพยายามบ่อยมาก เหมือนตัวเองต้องพยายามต่อไป พยายามอีกเยอะ เราไม่ใช่คนเก่ง แต่เราต้องรู้อะไรอีกเยอะ โชคดีที่ได้รับโอกาสดีๆ อย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นเมื่อโอกาสมาถึงตัวแล้ว เราต้องพยายามทำมันออกมาให้ดีที่สุด ทำได้ ไม่ได้ ไม่รู้ แต่ต้องลองทำก่อน แต่ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเราเริ่มต้นจากการเป็นผู้รับโอกาส พอเราเติบโตขึ้น เราจะต้องเป็นผู้สร้างโอกาสให้ตัวเราเอง เพราะไม่มีใครให้โอกาสกับเราได้ตลอดเวลา เราต้องสร้างเอง เมื่อเราเติบโตขึ้นเรื่อยๆ”


