posttoday

เมื่อโลกปฏิเสธเรา

20 สิงหาคม 2557

โดย...หนูดีวนิษา เรซ

โดย...หนูดีวนิษา เรซ

การอยู่อย่างประสบความสำเร็จในโลกใบนี้มีตัวแปรหลายอย่าง แต่อย่างหนึ่งที่คนมักมองข้ามนั้นคือ ความสามารถในการรับมือกับคำปฏิเสธด้วยวิธีคิดเชิงบวก

โลกใบนี้มีคำปฏิเสธส่งมาให้เราในหลายๆ รูปแบบ ไม่ว่าเป็นการที่เราสอบตก การที่เราสอบเข้าไม่ได้ มหาวิทยาลัยปฏิเสธเรา ไล่รวมไปถึงการอกหัก ถูกทิ้ง หรือแม้กระทั่งเรื่องง่ายๆ เช่น การถูกปฏิเสธการให้วีซ่าจากประเทศที่เราอยากไปเที่ยว

คนเรานี่ ชีวิตหนึ่งจะรับคำปฏิเสธได้สักกี่ครั้งกันกว่าที่เราจะรู้สึกว่า เราเป็นคนไม่มีค่าอะไร หรืออย่างเบาะๆ ก็รู้สึกว่า เราไม่เก่งพอ หรือดีพอที่โลกนี้จะยอมรับเราได้อย่างที่เราเป็น

คนเราจะต้องอกหัก โดนทิ้งสักกี่ครั้งกันถึงจะไม่กล้ามีรักใหม่อีก หรือคนเราจะต้องสอบเข้าไม่ได้กี่ครั้งกันจึงจะหันเหไปเส้นทางอื่นโดยไม่มองมหาวิทยาลัยเดิมอีกเลย

แต่การที่คนเราจะประสบความสำเร็จได้อย่างมหาศาล การที่เราก้าวข้ามคำปฏิเสธและกล้าที่จะฝึกฝนตัวเองจนเก่ง และกลับไปลองซ้ำแล้วซ้ำอีกได้นั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะหนแรกในการลองทำอะไรก็ตาม โอกาสที่จะทำได้ขั้นสุดยอดนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนเสมอไป

เปรียบเหมือนการขี่จักรยานที่กว่าเราจะขี่ได้แบบไม่ล้มนั้น เราใช้เวลาหลายครั้งมาก ล้มแล้วล้มอีก หรือเหมือนการเล่นเปียโนจนเก่งซึ่งต้องซ้อมแล้วซ้อมอีกจนชำนาญ

หากดูเป็นกีฬาหรือกิจกรรมที่ต้องใช้ทักษะเหล่านี้ คงเข้าใจได้ไม่ยากว่า การทำซ้ำๆ เป็นเรื่องปกติ แต่พอมาถึงเรื่องสำคัญๆ ในชีวิตที่กว่าเราจะเก่งจนเป็นที่ยอมรับนั้น เราต้องทำซ้ำๆ ฝึกซ้ำๆ คนกลับไม่คิดในแบบเดียวกัน

ทำไมเราต้องสอบเข้าหนเดียว แล้วถ้าสอบไม่ผ่าน เราจะไม่กลับมาลองอีก

สำคัญคือ เราต้องไปทบทวนบทเรียน ทำตัวเองให้เก่งขึ้น เมื่อพร้อมแล้วกลับมาใหม่ ลองใหม่ อย่าได้คิดว่าสอบตกครั้งเดียวคือโดนปฏิเสธตลอดกาล

ทำไมเราจะต้องมีความรักแค่ครั้งเดียว แล้วถ้าอกหักครั้งนี้ หรือโดนทิ้งแบบไม่รู้ตัว จะต้องคิดว่าความรักครั้งหน้าจะต้องเหมือนกันอีก เพราะคนเปลี่ยน เวลาก็เปลี่ยน และที่สำคัญคือ ตัวเราก็เปลี่ยน

แต่ประเด็นในเรื่องความรักก็คือ คนเรามักมีสเปกที่ล็อกไว้แล้ว และถ้าเราเดินเข้าหาความรักครั้งใหม่โดยไม่ประเมินสเปกตัวเองให้ดีว่า ทำไมสเปกนี้ถึงทำให้เราโดนปฏิเสธในครั้งที่ผ่านมา และไม่เซตเข็มทิศสเปกเสียใหม่ โอกาสการเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยก็จะเป็นไปได้สูง

ดังนั้น ทุกครั้งที่เราอกหัก โดนปฏิเสธในเรื่องความรัก อย่าเพิ่งเดินเข้าหารักครั้งใหม่จนกว่าเราจะนั่งลงถามตัวเองหนักๆ ว่า “เกิดอะไรขึ้น เราเองทำผิดตรงไหนบ้าง มีทัศนคติตรงไหนที่ผิดไป และเราจะปรับปรุงตัวเองอย่างไรได้เพื่อให้หนหน้าดีกว่าหนเดิม”

แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ เราต้องมีทัศนคติที่ถูกต้องกับ “คำปฏิเสธ” จากโลกใบนี้ เพราะคำปฏิเสธต่อผลงานของเรา ไม่ได้หมายความว่า “ตัวตน” ของเราถูกปฏิเสธไปด้วย

หนูดีเพิ่งได้ขึ้นเวทีบรรยายสำหรับบริษัทประกันแห่งหนึ่งในงานประชุมประจำปี ซึ่งหนึ่งในคำถามที่พิธีกรถามก็คือ “คุณหนูดีจะให้กำลังใจคนที่ต้องทำงานที่หนักและลำบากใจนี้อย่างไร”

คำตอบของหนูดี เป็นสิ่งที่หนูดีเรียนรู้มาจากการที่เราต้องเขียนเปเปอร์ส่งอาจารย์มาตลอดเวลาที่เรียนมหาวิทยาลัย

เริ่มจากปีแรกๆ ที่ทัศนคติของหนูดีต่องานที่ส่งคือ งานคือของๆ เรา คือสิ่งที่แสดงตัวตนของเรา มันคือลูกของเรา ดังนั้นชิ้นงานที่เสร็จออกไปนั้น หากมีใครมาตำหนิติเตียน หนูดีจะ “ขึ้น” มาก จะรู้สึกแย่ รู้สึกอยากปกป้องผลงาน ไม่อยากให้ใครมาพูดถึงมันเสียๆ หายๆ (ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว สิ่งที่อาจารย์ทำคือ การแก้ไขงานชิ้นนั้นๆ ให้ดีขึ้น)

หนูดีรู้สึกอึดอัดมาตลอดกับการถูกแก้ไขงาน จนมีครั้งหนึ่ง อาจารย์ท่านหนึ่งได้บอกว่า เวลาที่แก้ไขงานนี่ อาจารย์แก้ไขที่ผลงานจริงๆ คือ ตำหนิที่ผลงาน แต่ไม่ได้ตำหนิที่ตัวเรา อย่าเอาใจเรามาผูกกับงาน ทันทีที่ทำงานชิ้นนั้นเสร็จ ให้เราตัดใจออกจากงาน วางใจไว้ให้ถูกที่ อย่าทำใจผูกพัน เพราะทันทีที่เราผูกพันและตัดตัวเราออกจากงานไม่ได้ เราจะไม่มีวันเก่งได้เลย เพราะใครมาตำหนิ เราจะกระโดดมาปกป้องทันที แล้วทีนี้ใครจะกล้ามาติเพื่อก่อ

และถ้าไม่มีการติเพื่อก่อ แล้วเราจะพัฒนาตัวเองอย่างไร

การปฏิเสธชิ้นงาน ไม่ใช่การปฏิเสธตัวตนของเรานี่คะ

เปรียบเหมือนงานขายประกัน หรืองานขายตรง การที่เรานำโปรดักใดๆ ไปนำเสนอและลูกค้าไม่ซื้อ หากเราวางใจไว้ผิดที่ เราจะเจ็บปวดเรื่อยไป เพราะคิดว่า “เรา” โดนปฏิเสธอีกแล้ว

แต่หากเราวางใจไว้ถูกที่ เราจะรู้ว่า เขาปฏิเสธโปรดักต์ ไม่ได้ปฏิเสธตัวตนของเรา เราเองยังมีค่าอยู่เสมอ ขึ้นกับเราเป็นคนอย่างไร

และที่สำคัญ การปฏิเสธโปรดักต์ในเวลานาทีนี้ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปฏิเสธตลอดไป

วิธีการคิดแบบ Nothing is Personal คือ การปฏิเสธไม่ใช่การพุ่งเป้ามาที่ความเป็นตัวตนของเรา ไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธไม่รับเข้าเรียน การปฏิเสธโปรเจกต์ที่เรานำเสนอ หรือแม้กระทั่งการปฏิเสธความรัก หากเราแยกแยะและมองอย่างมีปัญญา หลายครั้งเราจะพบว่า เขาแค่ปฏิเสธสิ่งหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา ณ ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ตัวตนของเรายังสามารถคงคุณค่าไว้ได้เสมอ ขอเราให้วางใจให้ถูกที่ และพร้อมจะเรียนรู้จากสิ่งที่ทำพลาดไป และพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด เราจะพบว่า คำปฏิเสธจากโลกใบนี้ ไม่ใช่คำสาป แต่เป็นคำให้พรที่จะคอยเตือนเราว่า ปฏิเสธวันนี้ แต่ถ้าเราฝึกฝนและทำตัวใหม่ให้ดีขึ้น เราจะสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างที่เราตั้งใจไว้ทุกประการ

ข่าวล่าสุด

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดลบ นักลงทุนรอข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสัปดาห์นี้