posttoday

‘Mompreneur’ คุณแม่ยอดนักจัดการ

11 สิงหาคม 2557

พรุ่งนี้ก็เป็นวันแม่แล้วนะคะ ขอแสดงความชื่นชมผู้หญิงทุกคนที่เป็นและกำลังจะเป็นคุณแม่

โดย...รศ.ดร.ศิริยุพา รุ่งเริงสุข สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย/ภาพ เอพี 

พรุ่งนี้ก็เป็นวันแม่แล้วนะคะ ขอแสดงความชื่นชมผู้หญิงทุกคนที่เป็นและกำลังจะเป็นคุณแม่ เพราะบทบาทแม่เพียงอย่างเดียวก็เป็นบทหนักสำหรับผู้หญิงทุกคนที่ต้องมีความแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ อุ้มท้องเก้าเดือนใครว่าเป็นงานง่าย ขอให้มาลองอุ้มดูบ้าง พอลูกไม่ได้อยู่ในท้องแล้วก็ใช่ว่าภาระจะหลุดหายไป ยังต้องดูแลรับผิดชอบชีวิตของลูกไปอีกหลายปีกว่าลูกจะเติบโตช่วยตนเองได้ และสำหรับคุณแม่บางคนก็ยังต้องดูแลลูกจนตายจากกันไปเลยเพราะลูกไม่สามารถช่วยตนเองได้จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม โดยทั่วไปแล้วความเป็นแม่ลูกนั้นเป็นสายสัมพันธ์ที่ตัดกันไม่ขาด จะชั่วจะดีจะยากจะจนก็มักต้องดูแลกันจนชั่วชีวิต ลูกมักผูกพันกับแม่มากกว่าพ่อ โดยส่วนใหญ่ผู้ชายมักทอดทิ้งลูกมากกว่าผู้หญิง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะธรรมชาติสร้างแม่ให้เป็นผู้ให้กำเนิดลูกโดยตรง จึงมีความผูกพันกับลูกมากกว่ากระมัง

ในสังคมปัจจุบันที่ทั้งหญิงและชายต้องออกไปทำมาหาเลี้ยงชีพเพื่อความอยู่รอด คุณแม่ที่ต้องออกไปทำงานด้วยต้องรับบทหนักขึ้นไปอีก หลายคนไม่มีปู่ย่าตายายหรือไม่มีฐานะพอที่จะจ้างพี่เลี้ยงเด็กมืออาชีพมาดูแลลูกได้ตลอด 24 ชั่วโมง ก็ต้องเล่นบทควบเป็นทั้งแม่ เป็นพนักงาน เป็นเจ้าของกิจการ (ตั้งแต่ขนาดย่อมจนขนาดใหญ่) เป็นภรรยา และเป็นอีกหลายๆ อย่าง เช่น เป็นแจ๋ว เป็นแม่ครัวเพราะว่าไม่มีลูกจ้าง เจอหลายบทที่ท้าทายแบบนี้ บางคนก็ตีบทแตกกระจุยเป็น “ซูเปอร์มัม” (Supermom) บางคนโดนบทตีเสียกระจุยสติแตกไปก็มี ประมาณว่าตอนทำงานก็รู้สึกผิดว่าไม่ได้อยู่ดูแลลูก ส่วนเวลาอยู่ดูแลลูกก็ห่วงงานว่าไม่สามารถทุ่มเทได้เต็มที่ นอกจากนั้นยังมีปัญหามากมาย เช่น ไม่สามารถจัดเวลาดูแลสามี ทำความสะอาดบ้าน ฯลฯ คุณแม่หลายคนจึงมีอาการจิตหดหู่เศร้าหมอง ไม่ก็หงุดหงิดอารมณ์ร้ายทะเลาะกับคนรอบข้างไปหมด ไม่ก็ตีลูกอย่างโหดร้ายเพราะขาดสติ ตราบใดที่ผู้หญิงยังต้องทำงานและยังต้องเป็นแม่ซึ่งในประเทศที่เจริญแล้วเขายกย่องว่าการทำหน้าที่แม่มีความสำคัญเท่ากับเป็น “อาชีพ” หนึ่งเลยทีเดียวหากจะทำหน้าที่นี้ให้ดี ดังนั้นผู้เขียนจึงอยากเขียนบทความที่อาจช่วยให้แนวคิดแก่ผู้เป็นคุณแม่ทั้งหลายว่าจะสามารถบริหารชีวิตของตนเองให้แสดงทุกบทที่ต้องแบกรับอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างไร โดยผู้เขียนได้ไปทำวิจัยขนาดย่อยหาข้อมูลจากคุณแม่ที่มีประสบการณ์ผ่านสถานการณ์หนักๆ แบบนี้ได้ด้วยดี มาแบ่งปันให้ให้คุณแม่มือใหม่ได้นำไปไตร่ตรองดูว่าจะนำมาใช้กับตนเองได้อย่างไร

ประการแรก ต้องปรับสภาพจิตอารมณ์ของตัวเองก่อน ต้องมีทัศนคติในทางบวก อย่านึกว่างานหนักแบบนี้เราคงไปไม่รอด ถ้าคิดแบบนี้มันก็จะไปไม่รอดจริงๆ ต้องมองว่ามีแม่อื่นๆ หลายล้านคนที่เขาทำได้ ดังนั้นฉันก็ต้องทำได้อย่างดีด้วย เพราะมันเป็นเรื่องของการจัดการ การวางแผน การปรับตัว การมีวินัย และการมีจิตใจที่เข้มแข็งซึ่งไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาทำไม่ได้ ทั้งนี้อย่าลืมเรื่องของสภาพอารมณ์ว่าต้องพร้อม กล่าวคือสงบเย็น ถ้าเป็นคนช่างหงุดหงิดมีข้อแนะนำให้เริ่มทุกเช้าด้วยการไหว้พระสวดมนต์ตามความเชื่อในศาสนาของตนสัก 5 นาที อย่างน้อยก็เป็นการสงบจิตใจเพื่อการเริ่มต้นที่ดี ไม่ใช่ปล่อยใจไปตามอารมณ์จะพาไปซึ่งเป็นอันตรายต่อตนเองและความสัมพันธ์กับคนรอบข้างโดยเฉพาะลูก

ประการที่สอง ดูแลร่างกายจิตใจให้มีสุขภาพแข็งแรงเสมอๆ ก่อนที่เราจะไปดูแลชีวิตของใครคนอื่นได้ ตัวเราต้องแข็งแรงพอก่อน จัดเวลาให้ตัวเองได้รับประทานอาหาร ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เหมาะสม อย่าปล่อยตัวเองหัวกระเซิง หน้ามันเพราะมัวทำงานหรือเลี้ยงลูกจนลืมดูตัวเอง จะเป็นคุณแม่มหัศจรรย์แบบสาวน้อยมหัศจรรย์ต้องรู้จักดูแลตัวเอง ผู้เขียนมีเพื่อนเป็นหญิงเก่งที่สวยพร้อมออกจากบ้านได้ใน 30 นาที เพราะเธอฝึกการอาบน้ำสระผมอย่างมีระบบ และไปฝึกแต่งหน้าทำผมด้วยตนเองแบบง่ายๆ เธอรู้ว่ามีเวลาน้อยก็ฝึกสวยแบบประหยัดเวลาได้ เช่น ปรึกษาช่างผมเลือกทรงที่ดูดีและรักษาง่าย เลือกเสื้อผ้าที่ดูดีและรักษาง่าย แบบไม่ต้องรีดได้ยิ่งดี ไม่ต้องเข้าร้านทำผมให้เปลืองเวลาและเปลืองเงิน เวลารีบมากๆ ต้องไปส่งลูกเข้าโรงเรียน เธอก็สวมหมวกหนึ่งใบ กระโดดขึ้นรถขับออกไปได้เลย โดยเตรียมเสื้อผ้าและอุปกรณ์ที่จำเป็นไว้ในรถแล้ว พอเข้าออฟฟิศเธอก็สามารถสระผมในห้องน้ำที่ทำงานได้โดยมีขวดน้ำขนาด 1 ลิตรไว้ราดศีรษะ มีตะแกรงกรองผมด้วยจะได้ไม่ทำให้ท่ออุดตัน ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็มีผ้าขนหนูขนาดเล็กกับถังใบย่อมไว้รองน้ำซักผ้าถูสบู่ฟอกตัวของเธอ เสร็จแล้วเทน้ำลงชักโครก กิจกรรมอาบน้ำสระผมแต่งตัวเสร็จได้ใน 30 นาทีโดยไม่ต้องมีห้องอาบน้ำยังได้ และไม่ทำพื้นเปียกเลอะเทอะด้วย เห็นไหมคะว่าของอย่างนี้ฝึกกันได้ เธอจึงดูดีแม้เป็นคุณแม่ลูกสามค่ะ สามีก็ชอบใจที่ภรรยาไม่โทรม งานก็ก้าวหน้าเพราะบุคลิกดีเสมอ ตัวผู้เขียนยังเคยทำเลยเวลาเดินทางแล้วอยากอาบน้ำสระผมแต่ไม่มีห้องอาบน้ำ เชื่อเถอะค่ะว่าของแบบนี้ฝึกกันได้ เหมือนเราไปเข้าค่ายลูกเสือหรือเนตรนารียังไงคะ

ประการที่สาม เริ่มเข้าขบวนการบริหารจัดการที่ไม่จำเป็นว่าต้องจบ MBA จึงจะทำได้ เดี๋ยวนี้มีศัพท์ใหม่ใช้เรียกคุณแม่ที่เป็นเจ้าของกิจการว่า “Mompreneur” ซึ่งมาจากคำว่า mom+entrepreneur เขาไว้ใช้เรียกผู้หญิงเก่งที่ทำหน้าที่ได้ดีทั้งการเป็นผู้บริหารเจ้าของกิจการและเป็นแม่ และถึงแม้ท่านจะไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการ เป็นเพียงลูกจ้าง การที่เราจะเรียกตัวเองว่าเป็น Mompreneur เพื่อความครึ้มใจก็ไม่ผิดกติกาอะไร เพราะความจริงท่านก็เป็นเจ้าของกิจการชีวิตของท่านและของลูกท่านอยู่จริงๆ ทำตารางรายการกิจกรรมทั้งหมดที่ตัวเองมีความรับผิดชอบต้องทำร่วมกับสามี แล้วมาตกลงแบ่งงานและจัดสรรเวลาที่จะช่วยกันทำในเรื่องของการดูแลลูกและดูแลบ้าน ก็พยายามมีวินัยทำให้ได้ตามตารางนั้นๆ การวางแผนล่วงหน้าจะช่วยประหยัดทั้งเวลาและทรัพยากร เช่น จัดวันจ่ายตลาด วันทำกับข้าว วันซักผ้ารีดผ้า แรกๆ ตารางอาจยังไม่ลงตัว ก็ปรับกันไปจนลงตัว พอลูกเริ่มรู้ความทำอะไรได้ ก็ฝึกลูกให้ช่วยงานบ้านที่ง่ายๆ เหมาะกับวัย การมีวินัยอาจฟังดูน่าเบื่อ แต่มันคุ้มค่าค่ะ ยกตัวอย่าง เช่น บางวันกลับบ้านค่ำหน่อย เหนื่อยแล้วก็เลยล้มตัวนอนเลย เช้ามาตื่นสายต้องตาหูเหลือกหาข้าวให้ลูกกิน รีดชุดนักเรียน ตัวเองก็แต่งตัวไม่ทัน เช้านั้นเละเป็นโจ๊กเลย แต่ถ้าวางแผนดี วันเสาร์อาทิตย์รีดเสื้อกับเตรียมอาหารเช้าไว้แล้ว เช่น ต้มไข่ปอกเปลือกใส่ตู้เย็นไว้เรียบร้อย ซื้อนมกล่องเตรียมพร้อม พอเช้าก็ไม่ต้องลนลานมากมาย นี่คือเรื่องของการวางแผนและการบริหารเวลา จัดแบ่งงาน มอบหมายงานล่วงหน้าค่ะ

ประการที่สี่ ทำตัวเองให้เป็นคนที่ยืดหยุ่น (Flexible) พอมีลูกก็ย่อมมีภาระมากขึ้น การที่จะทำตัวเป็นมนุษย์นอนดึกตื่นสาย หรือเข้างานเก้าโมง เลิกงานห้าโมงคงไม่ได้ เพราะลูกกลายเป็นงานอีกชิ้นที่ท่านต้องรับผิดชอบตลอดเวลาไม่มีวันหยุด เพราะฉะนั้นต้องเปิดใจกว้างพร้อมแสวงหาแนวทางใหม่ๆ ที่จะทำให้ชีวิตการเป็นคุณแม่มหัศจรรย์ “เวิร์ก” ให้ได้

ประการที่ห้า พูดคุยกับองค์กรเรื่องตารางเวลาทำงานแบบยืดหยุ่น (Flexi hours) ลองปรึกษาหัวหน้างานถึงความเป็นไปได้ที่จะทำงาน 3 วัน หรือ 4 วันแทนที่จะเป็น 5 วัน โดยอาจมาเช้าขึ้น แต่ขอเลิกงานเร็วขึ้น เป็นต้น หรือทำงานจากบ้านแล้วมาส่งงานที่ทำงานในบางวันในกรณีที่ลักษณะงานไม่จำเป็นต้องนั่งอยู่ที่ทำงานทุกวัน ขอให้ผลงานเสร็จเป็นใช้ได้ แบบนี้ก็อาจจะเจรจาต่อรองกันได้เพื่อที่ท่านจะมีเวลาดูแลลูกมากขึ้น

ประการที่หก รู้จักใช้เทคโนโลยีเพื่อทุ่นแรงและเวลา ผู้เขียนเคยเห็นเพื่อนร่วมงานที่มีงานด่วนต้องทิ้งลูกให้พี่เลี้ยงดูแลอยู่ที่บ้าน เธอติดกล้องวงจรปิดแบบที่เธอสามารถเปิดจอดูเหตุการณ์ในห้องเลี้ยงเด็กและห้องอื่นๆ ได้ตลอดเวลา เวลาแจ๋วลากลับบ้านเธอก็มีอุปกรณ์เครื่องทุ่นแรงในการทำความสะอาดบ้านไว้ใช้มากมาย ทำให้เธอไม่ต้องเหนื่อยจนเกินไป เวลาจ่ายข้าวของเพื่อใช้ในบ้านก็สามารถสั่งสินค้าออนไลน์ได้ ประหยัดเวลาเดินทางได้เยอะ นอกจากนี้ก็เคยเห็นคุณแม่ใส่เครื่องอุดหูเพื่อกรองเสียงร้องบ้านแตกของลูกที่อารมณ์เสียแต่ไม่ได้ป่วยเจ็บอะไร (ต้องเช็กแล้วว่าไม่ป่วยแน่) แล้วคุณแม่ก็นั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ไปได้กว่าครึ่งชั่วโมง โดยลูกร้องจนเบื่ออยู่ข้างๆ อย่างน้อยก็ช่วยให้พอทำงานเงียบๆ ได้สักพัก บางคนฟังลูกร้องมากๆ อารมณ์เสียเลยหวดลูกซะตัวลายเลย แบบนี้ต้องหาตัวช่วยบ้างละมัง

ประการที่เจ็ด ทั้งสามีและภรรยาต่างต้องการเวลาเป็นส่วนตัว อย่าคิดว่าการแต่งงานแปลว่าเธอกับฉันต้องเห็นหน้ากันแบบ 7x24 (7 วัน วันละ 24 ชม.) เวลามีลูก ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ก็เครียดด้วยกันทั้งคู่ค่ะ ควรจัดตารางเวลาให้แต่ละคนผลัดกันมี “เวลานอก” อยู่เงียบๆ หรือออกไปพบเพื่อนฝูงบ้าง เป็นการลดความล้าและความเครียด แล้วจะได้พร้อมกลับมารับบทคุณแม่คุณพ่อมหัศจรรย์กันใหม่ค่ะ

หวังว่า 7 กลยุทธ์นี้คงช่วยคุณแม่ให้เป็น Mompreneur ที่สร้างความสุขให้ตนเองกับครอบครัว และยังสามารถก้าวหน้าในองค์กรได้ด้วยนะคะ

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์-FWD คว้า 3 รางวัล Adman Awards 2025 ตอกย้ำเข้าถึงลูกค้าทุก Gen ด้วย "ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย"