พิสิทธิ์ คุณานันทกุล กับความรักและความฝันอันชัดเจน
ท่ามกลางการแข่งขันในตลาดจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ที่ดุเดือดและยอดขายแปรผันตามไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน
โดย...กองทรัพย์ /ภาพ ภัทรชัย ปรีชาพานิช
ท่ามกลางการแข่งขันในตลาดจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ที่ดุเดือดและยอดขายแปรผันตามไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน การตัดสินใจว่าจะเป็นตัวแทนจำหน่ายจึงต้องทำการศึกษาตลาดมาอย่างดี เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะเติบโตในตลาดได้ในระยะยาว
สำหรับ พิสิทธิ์ คุณานันทกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คุณค่า คอร์ปอเรชั่น ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ระดับพรีเมียมจากยุโรปหลากหลายแบรนด์ อย่าง เคทีเอ็ม (KTM) และเอ็มวี ออกัสต้า (MV Agusta) เขาเลือกที่จะทำตลาดกลุ่มบนที่มีความหลงใหลในความเร็ว ขณะเดียวกันก็ชื่นชอบศิลปะ มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างอย่างชัดเจน ซึ่งที่ผ่านมาเขาถือว่าเป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว การันตีด้วยยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี และเติบโตกว่า 200% ในปี 2556
“ผมชื่นชอบศิลปะตั้งแต่เด็ก ขณะเดียวกันก็ชื่นชอบรถยนต์และความเร็วด้วย จึงมีความฝันว่าอยากจะทำในสิ่งที่เราชอบเท่านั้น ทำให้เลือกเรียนด้านการออกแบบอุตสาหกรรมที่สหรัฐอเมริกา โดยมุ่งไปที่การออกแบบพาหนะ หลังจากนั้นก็มีโอกาสได้ทำงานออกแบบรถยนต์อยู่หลายปี จึงไปเรียนต่อด้านการบริหารธุรกิจระหว่างประเทศที่อังกฤษ จบกลับมาก็มาช่วยธุรกิจครอบครัวด้านอุตสาหกรรมเหล็ก ผมสั่งสมประสบการณ์ระยะหนึ่งจึงตัดสินใจมาเปิดธุรกิจของตัวเอง” ผู้บริหารหนุ่มเล่าเส้นทางการทำงาน
เขาเริ่มเดินตามความฝันโดยร่วมกับครอบครัวด้วยการเปิดบริษัทเพื่อนำเข้ารถพลังงานไฟฟ้าจากสหรัฐอเมริกาและยุโรปมาจำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดีก่อนจะขยายไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นี่เองทำให้ พิสิทธิ์ มั่นใจว่าเขาสามารถเดินไปสู่ฝันที่ไกลออกไปได้แล้ว จึงลงทุนทุบกระปุกตัวเองใช้เงินที่เก็บสะสมจากการทำงานที่ผ่านมาปลุกปั้นเป็นบริษัท คุณค่า คอร์ปอเรชั่น เพื่อเริ่มต้นทำธุรกิจนำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของตนเอง
“ประมาณ 5 ปีที่แล้วผมรู้สึกว่าถึงเวลาที่จะต้องขยับขยายสู่สิ่งที่อยากทำมาตลอด จึงเริ่มทำธุรกิจการนำเข้าพาหนะที่เรามองว่ามีดีไซน์ มีสมรรถนะ มีเทคโนโลยีที่ดี และมีความแตกต่าง ก็มองรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์เป็นหลัก ปัจจุบันมีรถยนต์อยู่ 2 แบรนด์ และมอเตอร์ไซค์ 3 แบรนด์
“รถที่เรานำเข้าส่วนใหญ่จะเป็นสัญชาติยุโรป ซึ่งต้องทำงานร่วมกับต่างประเทศ วิธีการติดต่อเพื่อให้เขาไว้ใจให้เรานำเข้าสินค้าของเขามาจำหน่ายคือ ผมไม่ใช่นักธุรกิจจ๋า แต่สิ่งที่ผมทำทุกอย่างเริ่มจากความหลงใหลและความรักสิ่งนั้นจริงๆ ผมไม่ได้มองว่ารถที่ผมนำเข้าจะต้องขายดี แต่ผมเลือกจากมุมมองของนักขับคนหนึ่ง เริ่มจากการซื้อมาใช้เอง จนวันหนึ่งกลายมาเป็นผู้นำเข้าให้คนที่ชอบเหมือนเราได้มีโอกาสใช้ผลิตภัณฑ์เหมือนที่เราได้ใช้”
เมื่อถามว่าการเจรจาเพื่อให้ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากเคทีเอ็ม ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มียอดผลิตและยอดจำหน่ายสูงสุดในยุโรปทำอย่างไร พิสิทธิ์ บอกว่า เข้าไปพูดคุยกับผู้ผลิตในฐานะผู้บริโภคที่อินกับผลิตภัณฑ์ของเขามากๆ ไปบ่อยจนเริ่มกลายเป็นเพื่อนแลกเปลี่ยนไอเดียต่างๆ “พอวันหนึ่งเขาบอกว่าสนใจที่จะเปิดตลาดในเอเชียและตกลงให้เราเป็นตัวแทนนำเข้า เป็นการเปิดตลาดเจ้าแรกในเอเชีย สำหรับมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ ความท้าทายจึงมีพอสมควร แต่ปัญหาคือการรับรู้ของแบรนด์เหล่านี้ในเมืองไทยที่น้อยมาก ดังนั้นจึงเป็นงานยากสำหรับการตลาด แต่เมื่อกลุ่มเป้าหมายเราชัดเจนว่าเป็นคนที่ชื่นชอบดีไซน์ สมรรถนะของรถ ทำให้เกิดการบอกต่อ ส่งผลให้สังคมเล็กๆ ขยายตัว ปัจจุบันมีรถวิ่งอยู่บนถนนเมืองไทยกว่าพันคัน ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงในตลาดพรีเมียม”
ฟังดูแล้วเหมือนทุกอย่างจะราบรื่นสวยงาม แต่ พิสิทธิ์ บอกว่า ก่อนที่จะเดินได้ก็ต้องมีล้มและเจ็บตัวเจ็บใจกันบ้าง เพราะการตัดสินใจออกมาเปิดธุรกิจไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากคนในครอบครัวเท่าใดนัก ช่วงแรกรู้สึกท้อและอยากจะทิ้งงานเอาไว้กลางคันด้วยซ้ำไป ทว่าแรงของความฝันมีมากกว่าความเหนื่อยอ่อน เขาจึงตัดสินใจสู้ต่อ
“ในระยะแรกบอกเลยว่าคนที่ทำงานกับผมเหนื่อยมากๆ เพราะเรากำลังทำในสิ่งที่แทบไม่มีใครรู้จัก แต่ผมมองว่ามันเป็นอนาคตที่หอมหวาน ถ้าเปรียบผมเป็นเหมือนนักปั้นดาราคนหนึ่ง ผมรู้จักคนคนหนึ่งซึ่งสวย เก่ง และแตกต่างจากดาราคนอื่นๆ ในวงการ แต่ยังไม่มีคนรู้จักเธอ หน้าที่ของผมคือทำให้คนรู้จักและผลักดันให้เขาโด่งดัง นั่นเท่ากับว่างานของผมสำเร็จ ผมเชื่อว่าทุกแบรนด์ที่ผมทำอยู่ตอนนี้ล้วนสุดยอดและมีโอกาสที่จะเติบโตและประสบความสำเร็จอย่างมากในประเทศไทย ซึ่งคาดหวังว่าอีกไม่นานเกินรอ” นักธุรกิจผู้ก่อตั้งคุณค่า คอร์ปอเรชั่น บอกอย่างมั่นใจ
คุยกันมาพักหนึ่งแล้ว เรื่องของการทำงานเขาเป็นคนมั่นอกมั่นใจและค่อนข้างแน่วแน่กับสิ่งที่ทำ แล้วในด้านการใช้ชีวิตล่ะ “ผมเป็นคนที่โชคดีอยู่อย่าง คือรู้ตัวแต่เนิ่นๆ ว่าต้องการอะไรในชีวิต ดังนั้นผมจึงตั้งเป้าหมายของตัวเองไว้ค่อนข้างแน่ชัดว่าในแต่ละช่วงอายุผมจะทำอะไร บั้นปลายชีวิตของผมจะเป็นอย่างไร ดังนั้นตอนนี้จึงเหมือนกับว่าผมแค่เดินไปตามความฝันที่ผมวางไว้เท่านั้น ทุกวันนี้ผมอยู่ในวัยที่เรียกว่าทำงานเยอะ อัดแน่นตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ ส่วนวันเสาร์เป็นวันของเพื่อนและกิจกรรมส่วนตัว ส่วนวันอาทิตย์ก็จะทุ่มเทให้ครอบครัวและพยายามจัดสรรการท่องเที่ยวในแต่ละปีอย่างน้อย 46 ทริป
“บั้นปลายการทำงาน ผมอยากพาครอบครัวไปพักผ่อนให้มากขึ้น ซึ่งที่ที่สบายใจที่จะไปมากๆ คือทะเลที่ค่อนข้างเงียบและสงบ เพราะจริงๆ แล้วผมเป็นคนค่อนข้างสันโดษ ชอบอยู่เงียบๆ อ่านหนังสือ ฟังเพลง คงมีความสุขไม่น้อย แต่อย่างไรก็ตามคงไม่ทิ้งงานไปเสียทีเดียว แต่เชื่อว่าวันนั้นทุกอย่างคงดำเนินไปด้วยดีแล้ว”
3 สเต็ปสู่ฝันของคุณค่า
Step 1 ภายในระยะเวลา 3 ปี คือ 2559 แบรนด์ที่ถืออยู่ต้องประสบความสำเร็จในด้านยอดขาย เป็นที่รับรู้ในตลาด และเป็นผู้นำในตลาดบิ๊กไบค์ทั้งในด้านการตลาด การบริการ และส่วนแบ่งการตลาด รวมไปถึงการเป็นแบรนด์ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของ
Step 2 ภายในระยะเวลา 5 ปี มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำด้านสินค้าและบริการที่มีไลฟ์สไตล์อันแตกต่าง อาจจะมีการแตกไลน์ธุรกิจออกไปสู่ธุรกิจอื่นๆ ซึ่งมาต่อยอดธุรกิจในปัจจุบัน โดยยังจับกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมเช่นเดิม
Step 3 ในบั้นปลายตั้งเป้าอยากมีโปรดักต์เป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นสินค้าที่จะบอกได้อย่างเต็มภาคภูมิว่าคนไทยเป็นผู้คิดค้นออกแบบและมีโอกาสส่งออกจำหน่ายในต่างประเทศด้วย


