ปูอะแลสกา ก้ามใหญ่ เนื้อแน่น และแสนแพง
มีหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมปูอะแลสกานั้นจึงมีราคาแสนแพงนัก เฉลี่ยตกกิโลกรัมละ 3,000-5,000 บาท
โดย...องค์ชายห้า/ภาพ เสกสรร โรจนเมธากุล
มีหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมปูอะแลสกานั้นจึงมีราคาแสนแพงนัก เฉลี่ยตกกิโลกรัมละ 3,000-5,000 บาท เลยทีเดียว ผมก็คนหนึ่งล่ะที่สงสัยอยู่นาน เพิ่งจะมาได้คำตอบวันนี้เอง
เหตุที่ปูอะแลสกานั้นราคาแสนจะสูงลิบลิ่ว นั่นก็เพราะพวกมันเป็นปูที่มีถิ่นอาศัยอยู่แถบทะเลแบริ่ง และอ่าวอะแลสกา ซึ่งเป็นพื้นที่ท้องทะเลติดต่อกันระหว่างสหรัฐกับรัสเซีย ซึ่งทะเลแบริ่งนี้มีความลึกค่อนข้างมาก มีความลึกเฉลี่ย 1,600 เมตร และใต้ท้องทะเลส่วนใหญ่จะเป็นหุบเหว แถมยังมีอุณหภูมิที่ต่ำมากเรียกว่าติดลบกันทีเดียว
ดังนั้นการจับปูอะแลสกาขึ้นมานั้นย่อมต้องต่อสู้กับสภาพอากาศที่หนาวเย็นขั้นติดลบ แถมด้วยคลื่นลมในแถบนั้นก็ยังแรง จึงเกิดมีอาชีพจับปูอะแลสกา หรือที่เรียกว่า Deadliest Catch กันขึ้นมา และผู้ที่มาทำอาชีพนี้ไม่ใช่ชาวประมงคนไหนก็ทำได้นะครับ คนที่มารับอาชีพนี้จะต้องมีร่างกายที่แข็งแรงมากๆ เรียกว่าต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมเพื่อภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้กันโดยเฉพาะ
ว่ากันว่าคนที่ทำอาชีพจับปูอะแลสกานั้นจะมีรายได้สูงทีเดียว คือตีเป็นเงินไทยก็ตกครั้งละประมาณ 3 แสนบาท ครั้งหนึ่งก็ใช้เวลาประมาณ 5-7 วัน นับเป็นอาชีพที่มีรายได้สูงแต่ก็เสี่ยงกับความตายอยู่ไม่น้อย
ทั้งนี้เพราะการจับปูอะแลสกานั้นต้องต่อสู้กับสภาพอากาศที่หนาวเย็นเป็นอันมาก เรียกว่าทุกครั้งที่มีการจับปูอะแลสกา ว่ากันว่าจะต้องมีชาวประมงตายจากการจับปูอะแลสกาในแต่ละครั้ง ด้วยเหตุที่ว่าผู้จับนั้นอาจตกลงไปในน้ำซึ่งหนาวจัด และเกิดภาวะสูญเสียความร้อนอย่างเฉียบพลันนั่นเอง และด้วยเหตุนี้เองราคาปูอะแลสกาจึงมีราคาแพง
อีกประการยังต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ราคาจึงค่อนข้างสูงเข้าไปอีก อย่างบ้านเราจะนำเข้าปูอะแลสกา จากรัฐอะแลสกา ประเทศสหรัฐ โดยจะใช้วิธีน็อกปูด้วยความเย็น แล้วแพ็กใส่กล่องเก็บความเย็นอย่างดีแล้วขนส่งมาที่เมืองไทย
แม้ราคาจะค่อนข้างสูง แต่ด้วยรสชาติอันหวานฉ่ำ ก้ามโต และเนื้อยังแน่นหนึบ ทุกคนก็ยอมที่จะควักกระเป๋าจ่ายแต่โดยดี และเจ้าปูอะแลสกา ก็สามารถนำมาแปลงเป็นอาหารที่อร่อยได้ไม่รู้จบอีกด้วย
ห้องอาหารจีนหล่งฟ่ง โรงแรมสวิสโฮเต็ล เลอ คองคอร์ด กรุงเทพฯ เลยขอเอาใจสาวกคนรักปูอะแลสกาด้วยการนำเสนอจานเด็ดที่จัดทำขึ้นเป็นพิเศษกับ “เทศกาลปูอะแลสกา ยักษ์ (Alaskan King Crab)” ซึ่งเชฟอำนาจ เชาวันกลาง ได้รังสรรค์ปูอะแลสกา มาเป็นเมนูเด่นให้ได้ลิ้มลองกันอย่างจุใจ
เชฟอำนาจเล่าให้ฟังอย่างออกรสว่า “อะแลสกานั้นโดดเด่นที่รสชาติ คือเนื้อจะนุ่มหวานแอบมีความเค็มของน้ำทะเลแฝงอยู่ และเนื้อแน่นมาก เหมาะกับการนำมาสร้างสรรค์เป็นเมนู และเรานำเข้ามาสดๆ จากอเมริกาเนื้อมันก็จะยิ่งหวานครับ และปูอะแลสกาที่ดีต้องมีมาเป็นตัวพร้อมกับก้ามโตๆ ด้วย อีกอย่างขนาดยิ่งใหญ่เนื้อจะยิ่งแน่น และก็จะยิ่งแพงครับ”
เริ่มต้นเมนูแรก สลัดปูอะแลสกา สไตล์เซี่ยงไฮ้ เมนูสำหรับคนรักผัก พร้อมกับปูที่ไม่ปรุงรส สัมผัสได้ถึงความสด กินกับซอสงาบด กับมายองเนส และมิโซะซอส เข้าขากันดีกับผักสด
ต่อกันด้วย ปูอะแลสกาอบชีส ใช้ความสดของปูนำมาอบกับชีส 2 ชนิดคือ พาเมซานชีสให้กลิ่นหอม เพิ่มความยืดหยุ่นด้วยมอสซาเรลลาชีส จะออกรสเค็มนิดๆ
เมนูนี้ก็น่าสน ปูอะแลสกาทอดราดซอสเสาวรส น้ำเสาวรสสดปรุงรสด้วยน้ำตาล ส่วนปูนำไปชุบแป้งบางทอดให้สุก 80% ทั้งนี้ก็เพื่อให้เวลาเนื้อปูที่ถูกความร้อนแล้วไม่เนื้อแตก ทั้งตัวแป้งยังช่วยกักน้ำมันปูไม่ให้ออกมาด้านนอกอีกด้วย เนื้อปูจึงหวานฉ่ำ ยิ่งได้ซอสเสาวรสเข้าไปยิ่งเพิ่มรสชาติ
หรือจะเป็น ปูอะแลสกาผัดเนย การทอดเหมือนกันเพราะทอดนานไปเนื้อปูอะแลสกาจะแห้งและแตก จากนั้นก็นำเนยผัดกับหอมแดง ขิง และกระเทียม ผัดให้หอมใส่น้ำซุป แล้วนำปูลงไปผัดจนน้ำซอสที่ปรุงเข้าไปในเนื้อปูแบบเต็มๆ
อย่าลืมเมนูนี้ ปูอะแลสกาผัดซอส X.O. เป็นซอสซิกเนเจอร์ที่ขึ้นชื่อของร้าน ให้รสชาติที่จัดจ้านของกังป๋วย พริก ตามมาด้วยกุ้งแห้ง หมูแฮมยูนนาน และกระเทียม แล้วนำปูลงไปผัดจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน มีรสชาติจัดจ้าน เค็ม หวาน ครบรส
ถ้ามากันหลายคนขอแนะนำ บะหมี่ฮ่องเต้ผัดปูอะแลสกา เมนูบะหมี่ฮ่องกงชามโตผัดในสไตล์ฮ่องกง มาพร้อมกับปูอะแลสกาตัวโต ที่พนักงานจะมาฉีกเนื้อปูทั้งตัวลงไปบนเส้นบะหมี่แสนนุ่ม สามารถกินได้ 78 คนเลยทีเดียว
สัมผัสรสชาติของปูไฮเอนด์นามว่า อะแลสกา นี้ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ส.ค. 2557 นี้เท่านั้น ณ ห้องอาหารจีนหล่งฟ่ง เปิดบริการทุกวัน มื้อกลางวันเวลา 11.30-14.30 น. มื้อค่ำเวลา 18.00-22.30 น. โทร. 02-694-2222 ต่อ 1540


