posttoday

ปทุมธานีในทางผ่านสายรามัญ

13 กรกฎาคม 2557

เป้าหมายการเดินทางของเราวันนี้มุ่งหน้าไปยังวัดร้างแห่งหนึ่งใน จ.ปทุมธานี

โดย...โยธิน อยู่จงดี

เป้าหมายการเดินทางของเราวันนี้มุ่งหน้าไปยังวัดร้างแห่งหนึ่งใน จ.ปทุมธานี เราขับรถมาตามเส้นทางวิภาวดีรังสิต เลี้ยวซ้ายเข้า อ.เมือง จ.ปทุมธานี แต่ภาพวิวแม่น้ำบนสะพานปทุมธานี 2 ก็ทำให้เราชะงักไปชั่วขณะ เพราะเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 300 ปีแห่งนี้ กำลังจะถูกกลืนกินจากกระแสทุนนิยมที่ถาโถม จากสภาพเมืองเล็กๆ ที่มีผู้คนอาศัยใช้ชีวิตริมแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างสงบ ก็ค่อยแปรสภาพเป็นหมู่บ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม ศูนย์การค้า เพื่อรองรับเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังจะไปถึงในอีกไม่กี่ปี

วกรถกลับมุ่งหน้าที่ไปวัดชินวรารามวรวิหารเพื่อเยี่ยมชมโบราณสถานวัดเจตวงศ์ (ร้าง) ที่วงเล็บว่าร้าง นั่นก็คือเป็นวัดร้างจริงๆ แต่เป็นวัดร้างที่ทรงคุณค่าทางศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นที่หาชมได้ยาก แต่ทว่าถูกปล่อยปละละเลยให้มีการสร้างบ้านเรือนล้ำเข้ามาในเขตอุโบสถ จนเมื่อเราไปถึงครั้งแรกก็แทบไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือโบราณสถานที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมศิลปากร

ตามประวัติความเป็นมา วัดเจตวงศ์ถูกสร้างขึ้นมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผา แบบชายคาปีกนก มีประตูทางเข้าเพียงช่องเดียว หน้าต่างด้านละ 3 บานทั้งสองฝั่ง บริเวณโดยรอบมีฐานเสมาทั้ง 8 ทิศ ไม่ทราบความเป็นมาว่าผู้ใดเป็นคนสร้าง แต่จากการดูลักษณะการก่อสร้างที่ไม่มีการใช้ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ เปลี่ยนมาใช้การก่ออิฐถือปูนและใช้ลวดลายดินเผาเคลือบประดับหน้าแทนการใช้ไม้สลักแบบเดิม ใช้เสาเป็นสี่เหลี่ยมทึบ ไม่มีบัวเสา จึงสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งเป็นยุคของการก่อร่างสร้างเมืองใหม่ขึ้นมา สถาปัตยกรรมต่างๆ จึงยังไม่เน้นเรื่องความวิจิตรงดงามเหมือนกับวัดที่สร้างขึ้นในช่วงรัชกาลที่ 4 ซึ่งถือเป็นยุคเฟื่องฟูของกรุงรัตนโกสินทร์

ปทุมธานีในทางผ่านสายรามัญ

 

ภายในมีพระพุทธรูปโบราณปางมารวิชัยประดิษฐานเป็นพระประธาน โดยรอบมีจิตรกรรมฝาผนัง ที่กรมศิลปากรระบุว่าเป็นฝืมือช่างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มาวาดลวดลายเรื่องราวการบำเพ็ญเพียรภาวนาท่ามกลางหมู่มารผจญ จนกระทั่งตรัสรู้ หากนับเรื่องคุณค่าทางงานศิลปะ นี่คือผลงานจิตกรรมฝาผนังชั้นครูที่หาชมไม่ได้ง่ายนัก แต่น่าเสียดายที่วัดเจตวงศ์กลับไม่ได้รับการดูแล กำหนดรั้วรอบขอบชิดให้สมกับเป็นโบราณสถานประจำจังหวัด ดูแล้วช่างน่าเสียดายยิ่งนัก

แต่ในขณะเดียวกันก็ใช่ว่าวัดเก่าแก่ใน จ.ปทุมธานี จะถูกทิ้งร้างไปเสียทั้งหมด อย่างเช่นวัดเก่าแก่ที่สะท้อนความเป็นชาวเมืองปทุมธานีได้อย่างดีก็คือ วัดเจดีย์ทอง เป็นวัดที่มีเจดีย์ทรงรามัญ สร้างในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์โดยชาวมอญ เลียนแบบมาจากเจดีย์จิตตะกองของพม่า และมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยสร้างขึ้นด้วยหยกขาว เป็นที่เคารพสักการะของชาวไทยรามัญ

แต่หากย้อนประวัติกลับไปอีก วัดเจดีย์ทองเป็นวัดเก่ามีมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ตามตำนานเมืองปทุมธานี หรือเมืองสามโคก กล่าวถึงยุคสมัยแห่งการสร้างเมืองว่า ครั้งหนึ่งในอดีต ท้าวอู่ทองได้อพยพไพร่พลหนีโรคห่า สัมภาระบรรทุกเกวียนมาประมาณแปดสิบเล่ม ตอนกลางคืนได้จุดไฟสว่างไสวตลอดทั้งคืนนานเป็นแรมเดือน เมื่อโรคห่าสงบแล้ว ก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดในบริเวณที่เคยประทับขึ้น 1 วัด ชื่อว่า วัดเทียนถวาย

ปทุมธานีในทางผ่านสายรามัญ

 

จากนั้นมาก็มีบ้านเรือนราษฎรตั้งเป็นกลุ่มเล็กๆ ริมฝั่งแม่น้ำ และบ้านเรือนเริ่มจะมีมากขึ้นในภายหลังที่พระเจ้าอู่ทองได้สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ปทุมธานีคงเป็นเพียงชุมชนเล็กๆ เป็นต้นด่านกักนาวาก่อนที่จะเดินทางผ่านเข้ามาสู่ตัวเมืองกรุงศรีอยุธยานามเมืองสามโคก

จนกระทั่งเมื่อพม่ารบกับจีนเมื่อราวๆ พ.ศ. 2202 มีชาวมอญที่ถูกเกณฑ์เข้าร่วมในกองทัพพม่า หลบหนีพาครอบครัวออกจากเมืองเมาะตะมะเข้ามากรุงศรีอยุธยาประมาณ 1 หมื่นคน สมเด็จพระนารายณ์จึงโปรดเกล้าฯ ให้ครอบครัวมอญที่อพยพเข้ามาในครั้งนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านสามโคก และทรงโปรดเกล้าฯ ให้ชาวมอญที่อพยพมาในครั้งนั้นตั้งบ้านเรือนอาศัยทำมาหากินที่ ต.สามโคก และต่อมาทำให้ ต.สามโคก เจริญรุ่งเรืองขึ้นจนมีฐานะเป็นเมืองสามโคก

กาลล่วงเลยมาถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อพระเจ้าปดุงกษัตริย์พม่าได้ทรงเกณฑ์แรงงานชาวมอญให้สร้างพระธาตุที่เมืองเมงถุนให้เป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างความลำบากยากเข็ญแก่ชาวมอญเหล่านั้นเป็นอย่างยิ่ง จึงพากันอพยพหลบหนีเข้ามาพึ่งอีกราวๆ 4 หมื่นกว่าคน

ปทุมธานีในทางผ่านสายรามัญ

 

เมื่อทรงทราบข่าวว่าครัวมอญอพยพเข้ามา จึงโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคลเสด็จขึ้นไปคอยรับครัวมอญที่เมืองนนทบุรี ทรงเอาพระทัยใส่ ดูแลทุกข์สุข ประหนึ่งเป็นประชาชนของพระองค์เอง จนกระทั่งพระองค์เสด็จประพาสเมืองสามโคกโดยทางชลมารค เพื่อทรงเยี่ยมเยียนชาวรามัญที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ พระองค์ประทับ ณ พลับพลาริมแม่น้ำเจ้าพระยาตรงกับเมืองสามโคก ทรงรับดอกบัวจากพสกนิกร ซึ่งนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายอยู่เป็นเนืองนิตย์ จึงพระราชทานนามเมืองสามโคกให้เป็นสิริมงคลใหม่ว่า “ประทุมธานี” นับแต่นั้นเป็นต้นมา

แต่ถ้าต้องการชมวิถีชาวมอญแบบดั้งเดิมจริง เราแนะนำให้เดินทางไปที่วัดศาลาแดงเหนือ ซึ่งที่นี่ก็มีบ้านเรือนของชาวมอญแบบเก่าหลงเหลืออยู่บ้าง รวมทั้งวิถีชีวิตของชาวชุมชนและพระสงฆ์ก็ยังคงสวดมนต์แบบภาษามอญให้เราได้ยินจนถึงปัจจุบัน จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไม จ.ปทุมธานี จึงมีศิลปะของพม่าเข้ามาผสมกับศิลปะสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้นอยู่มาก นั่นก็เพราะศิลปะเหล่านี้เข้ามาทางชาวมอญที่อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารนั่นเอง แต่เชื่อว่าอีกไม่นานศิลปะวัฒนธรรมของชาวมอญเหล่านี้คงจะถูกกลืนหายไปกับป่าคอนกรีตที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ แน่นอน

ชมนรกสวรรค์

วัดแนะนำที่อยู่นอกเส้นทางริมแม่น้ำเจ้าพระยา แต่เราอยากให้เยี่ยมชมกันก็คือ วัดพืชอุดม อ.ลำลูกกา คลอง 12 ใครอยากจะเห็นนรกสวรรค์ตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ต้องเดินทางมาที่วัดนี้ สวรรค์ทุกชั้น นรกทุกขุม จะปรากฏชัดแก่สายตาว่า ถ้าเราทำดีก็ย่อมจะได้ดี ทำชั่วย่อมได้รับผลกรรมอย่างไร

ข่าวล่าสุด

เลิกวนลูป! ส่อง 3 เป้าหมายยอดนิยมที่คนไทยตั้งไว้ทุกต้นปี เป็นจริงได้อย่างไร?