posttoday

ชีวิตที่ธรรมดา เป็นชีวิตที่พิเศษที่สุด

09 กรกฎาคม 2557

โดย...หนูดีวนิษา เรซ

โดย...หนูดีวนิษา เรซ

ใครๆ ก็อยากมีชีวิตที่ไม่ธรรมดาและไม่เหมือนใคร เพราะใครจะอยากเหมือนคนอื่นๆ อีกเป็นล้านๆ คน เพราะฉะนั้นคำว่า “ไม่ธรรมดา” หรือ “ไม่เหมือนใคร” จึงเป็นจุดขายของหลายๆ สินค้า ที่ดึงเราให้เข้าไปซื้อหา บางครั้งอาจด้วยราคาที่แพงจัด เพื่อแลกกับความ “ไม่ธรรมดาและไม่เหมือนใคร”

หนูดีเองมานั่งมองเทรนด์นี้แล้วรู้สึกว่า ทำไมโลกของเราในปัจจุบัน ถึงพากันให้ค่ากับความ “ไม่ธรรมดา” กันมากขึ้นทุกที บางครั้งมากจนเกินจริง บางครั้งมากจนเกินจำเป็น จนความเป็นคนธรรมดาๆ ที่น่ารักและน่าเอ็นดู กำลังถูกทำให้ด้อยค่า และไม่มีราคาลงไปอย่างน่าเสียดาย

ทั้งๆ ที่หากเราตั้งใจมองกันอย่างแท้จริงแล้ว ความธรรมดานี่ละ คือสิ่งที่มีค่ามากที่สุดสิ่งหนึ่งเลยทีเดียวนะคะ

ความธรรมดา ทำให้เราพบความสงบ

ความธรรมดา ทำให้เราพบความสบายใจ

และในความธรรมดา

เราอาจพบกับความผ่อนคลาย นิ่ง และมีความสุขละเอียดอ่อนเล็กๆ แบบที่ความไม่ธรรมดา ไม่สามารถมอบให้เราได้

เพราะความไม่ธรรมดามักมอบความสุขใหญ่ๆ แรงๆ ความภูมิใจบางประเภท หรือความสะใจ ความรู้สึกที่ว่าฉันมีดีเหนือคนอื่นๆ

ความรู้สึกแบบนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่ถามว่าเราเสพสิ่งเหล่านี้ได้ทุกวันหรือไม่ โดยไม่ทำลายสภาพจิตใจของเราไปก่อนหรือเปล่า

หนูดีพบว่าเวลาที่หนูดีมีโอกาสได้ทำอะไรที่ไม่ธรรมดา อะไรที่ไม่เหมือนใคร อะไรที่ยากๆ หรือได้ไปสัมผัสในสิ่งที่คนทั่วไปอาจยากที่จะได้มาสัมผัส หนูดีอาจรู้สึกตื่นเต้น ภูมิใจ ประทับใจว่า เราทำได้ หรือเรามีโอกาสที่ยากจะมีใครเหมือน

แต่หากพูดถึง “ความสุข” แล้วละก็...

ความสุขของคนเราส่วนใหญ่ แม้กระทั่งมหาเศรษฐีระดับโลกเมื่อมีการสอบถามหรือสัมภาษน์กัน ก็พบว่าแม้กระทั่งกลุ่มคนที่มีเงินมากมายพอจะซื้อประสบการณ์หรูๆ เริดๆ ในโลกใบนี้เท่าไหร่ก็ได้ เช่น วอร์เรน บัฟเฟตต์ ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ชายที่รวยที่สุดในโลก ก็บอกว่า สำหรับเขาแล้ว ความสุข คือ การได้นั่งดู DVD อยู่ที่บ้านและนั่งทานป๊อปคอร์นหน้าจอหนังบนโซฟาบ้านตัวเอง แม้กระทั่งบ้านของเขา ก็ยังคงเป็นบ้านหลังเก่าที่อยู่มาตั้งแต่ยังไม่ได้รวยมากอย่างทุกวันนี้

การทำงานหนักและการทำงานเก่ง อาจพาเราเดินไปสู่ชีวิตไม่ธรรมดา แต่หนูดีมองว่าการดำรงชีวิตส่วนตัวที่เรียบง่ายธรรมดาไว้ได้นั้น เป็นเคล็ดลับความสุขขั้นสุดยอดของคนจำนวนมากเลยค่ะ

หนูดีเอง ก็เป็นคนหนึ่งที่รับเคล็ดลับนี้มาปฏิบัติในชีวิตตัวเอง และพบว่ามันให้ความสงบท่ามกลางโลกการทำงานที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายได้ดีจริงๆ ค่ะ

เลิกคิดที่จะทำชีวิตส่วนตัวให้วุ่นเลย

อะไรที่ยาก เยอะ วุ่นวาย ตัดทิ้งแทบทั้งหมดค่ะ

เพราะงานของเราก็ช่างวุ่นวาย เจอคนหลากหลาย ปีหนึ่งๆ หนูดีน่าจะประสานงาน หรือพบเจอกับคนตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพัน นี่ยังคงไม่นับรวมที่เราเจอกันผ่านสื่อต่างๆ ซึ่งน่าจะนับรวมเป็นล้าน แค่นี้ก็มหาศาลแล้วสำหรับสมองมนุษย์คนหนึ่งจะรับข้อมูลและประมวล หากต้องทำให้ชีวิตส่วนตัว “เยอะ” ไปด้วย เช่น ต้องคอยเฟ้นหาสถานที่เท่ๆ ที่จะไปนั่งรับประทานอาหาร ต้องไปผับที่อินคูล ต้องไปคอยเล่นกีฬาที่กำลังอินอยู่ในตอนนั้น ถ้าต้องคอยไปตามสถานที่ที่คนดังๆ เขาไปกัน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้คงทำให้จิตใจของเราหาความสงบไม่ได้เลยทีเดียว

ก็สมองและหัวใจใครเลย จะโหลดความ “เยอะ” ได้ ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว

หนูดีเองพบว่า ความสุขแทบทั้งชีวิตมาจากอะไรที่ธรรมดามากๆ ทั้งการนั่งเล่นอยู่กับบ้าน การทำอาหารทานกันในครอบครัว การได้ออกกำลังกาย การได้ตื่นสายๆ สบายๆ บ้างในวันหยุด การได้มีงานอดิเรกที่รัก เช่น ปลูกผัก ถ่ายรูป ศึกษาสมุนไพรต่างๆ ปลูกเห็ด ศึกษาเมนูอาหารใหม่ๆ และทำอาหารให้คนในครอบครัวทาน

ความสุขที่แท้จริงส่วนใหญ่ในชีวิตเรา มักมาจากสิ่งที่เรียบง่ายจริงๆ ค่ะ นั่นไม่ได้หมายความว่าเราควรจะไม่ไปทำงานที่ยาก หรือไม่ไปเรียนในสิ่งที่เราต้องท้าทายความสามารถของตัวเอง แต่มันหมายความว่าเราต้องเลือกให้ชัดเจนไปเลยว่าเราจะ “ยากและเยอะ” กับอะไร

เช่น จะเลือกเรียนในสิ่งที่ยาก และทำงานที่ต้องวุ่นวายเยอะแยะ ก็เลือกและฟันธงไปเลยว่า นี่ล่ะคือจุดที่เราจะทุ่มพลังงานให้กับความยาก และทำมันให้ “ไม่ธรรมดา” ทำให้มันไม่เหมือนใคร

แต่นาทีต่อมา เราเดินออกจากโลกแห่งการทำงาน กลับเข้าสู่โลกส่วนตัว เราควรโยนทุกความ “เยอะ” ทิ้งให้หมด และก้าวกลับเข้าสู่โลกแห่งความธรรมดาและเรียบง่าย

รวมถึงโยนบุคลิกที่เยอะและไม่ธรรมดาทิ้งไว้ที่ทำงานเสียให้หมด ไม่เช่นนั้นเราจะไม่มีทางมีชีวิตครอบครัวที่เรียบง่ายและสงบสุขได้เลย

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หนูดีมีโอกาสได้รับประทานข้าวกับพี่สาวที่รักมากคนหนึ่ง เราไปนั่งรับประทานกันที่แฮร์รอดส์ และหนูดีก็พูดขึ้นมาว่า “ที่นี่หรูจังค่ะ หนูดีเขินเลย ไม่ชิน เพราะปกติเดินแต่ห้างแถวบ้านที่รังสิต” คือ ด้วยความเป็นเด็กต่างจังหวัด ไม่ว่าหนูดีจะไปมาที่ไหนรอบโลก หรือได้ไปรับประทานอะไรหรูๆ กี่ครั้งก็ตาม เราก็จะรู้สึกเสมอว่ามันไม่ใช่ที่ใช่ทางของเรา และแม้เราจะฟอร์มได้ดี แต่จริงๆ ลึกๆ ก็เขินค่ะ

พี่สาวเลยบอกว่า “หนูดีรู้อะไรไหม พี่เจอหนูเมื่อหลายปีก่อน ตอนหนูยังไม่มีใครรู้จักเลย เป็นเด็กโนเนม และวันนี้ผ่านไปเกือบสิบปี หนูดีก็ยังเป็นคนธรรมดาเหมือนเดิม ซึ่งน่ารักมาก” ปกติหนูดีเป็นคนเขินกับคำชม แต่นี่เป็นคำที่จับใจมาก เพราะพี่สาวดึงแก่นชีวิตหนูดีออกมาได้ในประโยคเดียว เพราะสำหรับหนูดีแล้ว ไม่ว่าชีวิตการทำงานจะพาเราไปถึงไหนๆ ไม่ว่าจะมีคนรู้จักเท่าไหร่ ถ้าเราไม่ลืมที่มาของเรา แหล่งความสุขที่เรียบง่ายของเรา เราไม่โยนทิ้งความธรรมดาไปแลกกับความไม่ธรรมดาแล้ว ชีวิตการทำงานที่ “ไม่ธรรมดา” จะอยู่ร่วมกับชีวิตส่วนตัวที่ “ธรรมดา” ได้อย่างลงตัว และความสุขเรียบง่าย ก็เป็นเรื่องไม่ไกลเกินเอื้อมจริงๆ ค่ะ

ข่าวล่าสุด

Yindii เปลี่ยนอาหารขายไม่หมด หมุนรายได้คืนธุรกิจ 78 ล้านบาท