40 ปี “น้ำพุ” วัยรุ่น ยาเสพติด และสายใยรักในครอบครัว
วันนี้ สถานการณ์วัยรุ่นกับยาเสพติดยังคงเป็นปัญหาครอบครัวที่รุนแรงของสังคมไทย พาย้อนวันวานกับกรณีศึกษาคลาสสิค "น้ำพุ" อันโด่งดังเมื่อ 4 ทศวรรษที่แล้ว
การที่นวนิยายและภาพยนตร์เรื่องหนึ่งสามารถยืนอยู่ในใจของผู้คนมายาวนาน และถูกปิดผนึกให้อยู่เหนือกาลเวลา โดยตัวของหนังสือเองหากนับครั้งแรกที่ออกมาในปี 2517 ก็มีอายุถึง 40 ปีเข้าไปแล้ว และถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2527 ก็เดินทางมาถึง 30 ปี และล่าสุดภาพยนตร์ “น้ำพุ” ก็ถูกหยิบมารีมาสเตอร์ใหม่ภายใต้โปรเจกต์ The Legend Collection
ยุทธนา มุกดาสนิท ผู้กำกับการแสดงภาพยนตร์ “น้ำพุ” ได้โพสต์ลงในเฟซบุ๊กของตัวเองว่า
“ได้ไปดูหนังรีมาสเตอร์ "น้ำพุ" ที่เขาฉายให้สื่อมวลชนชมที่ห้องฉายของบริษัทไฟว์สตาร์มา.....
โดยทั่วไปก็นับว่าคุณภาพดีเยี่ยม ยังกับตอนฉายวันแรกๆ แต่ผมรู้สึกว่าเขาปรับแสงให้ฉากกลางคืนดูสว่างมากกว่าที่ผมตั้งใจในหนังแนวสัจจนิยมเรื่องนี้ และฟอร์แมทการฉายในขนาด 1:1.85 ทำให้สองด้านโดนตัดหายออกไปบ้าง เพราะหนังถ่ายทำมาในระบบซีเนมาสโคป...นอกเหนือจากนั้น ไม่มีอะไรตำหนิ คุณภาพของภาพและเสียงชัดแจ๋วดี...ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหารของไฟวสตาร์ คุณเกียรติกมล เอี่ยมพึงพร ถึงโครงการนำน้ำพุกลับมาฉายโรงในเร็วๆ นี้มีความเป็นไปได้แน่นอน...”
คอหนังไทยก็พอใจชื้นได้ว่า น่าจะมีโอกาสได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์กันอีกครั้ง รวมถึงมีดีวีดีให้สะสมกันด้วย
สำหรับ “น้ำพุ” เป็นภาพยนตร์ที่ความสำเร็จทั้งในแง่รายได้และรางวัล โดยกวาดรางวัลตุ๊กตาทองสาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม และสาขาดารานำชายยอดเยี่ยม รวมถึงรางวัลดารานำชายดีเด่น จากงานเทศกาลภาพยนตร์แห่งเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ 29 ซึ่งทำให้ อำพล ลำพูน กลายเป็นดาราดังในวงการทันที และสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติคัดเลือกหนังไทยเข้าประกวดสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม รางวัลออสการ์ในปี 2527 เป็นหนังไทยเรื่องแรกที่เป็นตัวแทนประเทศไปประกวด และในอีก 18 ปี “น้ำพุ” ยังถูกนำมาสร้างละครโทรทัศน์ทางช่อง 7 ในปี 2545 ก็ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นอีกครั้งหนึ่ง ถึงวันนี้ก็ผ่านไปถึง 12 ปีเต็ม
การเสียชีวิตเพราะเสพเฮโรอีนเกินขนาดของ วงศ์เมือง นันทขว้าง เมื่อ 40 ปีก่อน จึงถือว่าเป็นเรื่องฮือฮามากเพราะ "น้ำพุ" ไม่ใช่แค่วัยรุ่นธรรมดา แต่เป็นลูกชายคนเดียวของ สุวรรณี สุคนธา นักเขียนและบรรณาธิการชื่อดังสมัยนั้น หนังสือ "เรื่องของน้ำพุ" โด่งดังเป็นพลุแตก ทำให้ปัญหายาเสพติดเป็นเรื่องระดับชาติมาทันที คำว่า "เด็กมีปัญหา" ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาจนเป็นคำสำคัญในสังคมไทย จนกระทั่งมีการทำเป็นภาพยนตร์โด่งดังและทำให้ “น้ำพุ” อยู่ในความทรงจำของยุคสมัยมาจนถึงทุกวันนี้
รำลึกความหลัง “น้ำพุ” ผ่าน “ถ้ำกระบอก”
ความโด่งดังของหนังสือ “เรื่องของน้ำพุ” จนมาถึงภาพยนตร์ “น้ำพุ” ทำให้ปัญหายาเสพติดกับวัยรุ่นในสังคมไทยถูกยกระดับความสำคัญขึ้นมาจากภาครัฐ สถานที่หนึ่งที่กลายเป็นที่รู้จักกันทั้งประเทศ และมีวัยรุ่นติดยากลับใจมาที่นี่ เพื่อเลิกยากันอย่างมากมาย นั่นคือ “ถ้ำกระบอก” พระวิจิตร อัครจิตโต แห่งสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก ต.ขุนโขลน อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี เล่าว่า น้ำพุมาเลิกยาที่นี่ในปี 2517
“ฉากถ้ำกระบอกในภาพยนตร์มาถ่ายที่นี่ อำพลก็มาด้วย ซึ่งเรื่องจริงน้ำพุมาเลิกยาที่นี่ การมารักษาตัวเพื่อเลิกยาของน้ำพุที่ถ้ำกระบอกนี้ เขาก็เลิกได้ เมื่อกลับไปบ้านเขาก็ไปผิดพลาดอีก เพราะความอ่อนแอของตัวเขา รวมทั้งความไม่เข้าใจของคนรอบข้างที่จะให้กำลังใจ ไม่มีเวลาให้กับเขาซึ่งทำให้เขาเลิกยาให้ขาดได้ จุดนี้ทำให้เขาเสียชีวิตไปโดยการหันไปใช้ยาอีกครั้งหนึ่ง แม่เขาก็เอาจดหมายที่เขียนส่งกลับไปให้จากถ้ำกระบอก เอาไปพิมพ์เป็นหนังสืออนุสรณ์ในงานศพ ซึ่งก็ถูกตีพิมพ์ออกมาจำหน่ายด้วย คนในยุคนั้นจะรู้เรื่องราวของน้ำพุดี แต่คนยุคนี้น่าจะไม่ค่อยมีใครรู้
“เรื่องราวของน้ำพุเป็นอุทาหรณ์ที่ว่า ผู้ป่วยยาเสพติดเมื่อมารักษาก็จะหาย แต่จะเลิกได้หรือไม่...ตรงนี้สำคัญ คนที่จะอยู่กับผู้ป่วยและเข้าใจผู้ป่วยจริงๆ ให้เตรียมรับสถานการณ์หลังจากที่เขาเลิกยาได้แล้ว เพราะตอนนั้นเขาเหมือนคนอ่อนแอ ถ้าเปรียบเป็นต้นไม้เขาก็เหมือนต้นไม้ที่ป่วย เมื่อมารักษา ทางถ้ำกระบอกก็ประคบประหงม เขาก็เริ่มแตกรากอ่อนแตกใบอ่อน เมื่อกลับไปที่บ้าน หลุมดินที่เขาเคยป่วยหรืออาศัยอยู่ มันอาจจะแฉะน้ำ อาจจะมีตัวแมลงหรือให้ปุ๋ยเยอะเกินไป บางทีพ่อแม่ก็ให้แต่เงินให้ทุกอย่าง แต่ไม่เคยสนใจเลยว่า ต้นไม้ที่ให้ปุ๋ยมันเค็มไปหรือเปล่า กำลังป่วยหรือเปล่า กลางคืนเคยไปส่องไฟดูไหมว่ามีแมลงกวนบ้างไหม พอผู้ป่วยหายกลับบ้านไปปุ๊บ เหมือนน้ำพุเขาต้องการร่มเงา เหมือนไม้อ่อนๆ ที่ต้องการความดูแลเพื่อการพักฟื้นอย่างดี ต้องการไม้ค้ำเวลาที่ลมแรงๆ จะได้ไม่ล้ม ต้องการหลังคากันแดดเพื่อเวลาแดดแรงๆ ใบจะได้ไม่ไหม้ ตรงนี้ครอบครัวไม่เข้าใจ คนแวดล้อมไม่เข้าใจ เพื่อนฝูงไม่เข้าใจเขา ผู้ป่วยก็จะเคว้งคว้างไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง”
พระวิจิตร ยอมรับว่า ช่วงเวลานั้น หนังน้ำพุมีอิทธิพลต่อวัยรุ่นไทยมาก เพราะทำให้พวกเขารู้สึกช๊อกไปชั่วขณะหลังจากดูหนังเรื่องนี้
“ชีวิตแค่เส้นยาแดงผ่าแปด ผิดพลาดแค่นิดเดียวก็ตายได้ อยากให้เป็นอุทาหรณ์ที่ไม่รู้จักจบ สถานการณ์ยาเสพติดกับวัยรุ่นในยุคปัจจุบันนี้ ยาบ้าก็ยังเยอะเหมือนเดิม แต่สถานการณ์ในเรื่องการรักษามันง่ายกว่ากันเยอะ สมัยน้ำพุเฮโรอีนรักษายากกว่า เพราะฉีดเข้าเส้น ส่วนคนที่มารักษาก็ยังอยู่ในระดับเดิม แต่ปัจจุบันใช้ระยะเวลาสั้น เพราะส่วนมากเป็นยาบ้า ยาอี ยาไอซ์ ตอนนี้ชาวต่างประเทศก็มารักษาเยอะ ช่วงนี้ก็มีอยู่ 6-7 คน จากหลายประเทศ อังกฤษ สิงคโปร์ มาเลเซีย ส่วนมากใช้โคเคนและยาไอซ์”
“อยากให้มีหนังหรือละครแบบน้ำพุมานำเสนอให้คนในทุกวันนี้ได้ดู” พระวิจิตรบอกว่า จะเป็นอุทาหรณ์ที่ดีมากให้พ่อแม่ได้รู้ว่า พลาดนิดเดียวก็เสียลูกไปแล้ว
รสวรรณศิลป์ที่ยังตราตรึง
นอกจากภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ที่อยู่ในใจของผู้คน การที่ “เรื่องของน้ำพุ” ได้อยู่ในรายชื่อหนังสืออ่านนอกเวลาของนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษา ทำให้หนังสือเล่มนี้อยู่ในใจของคนที่เติบโตมาในยุคทศวรรษ 2520-2530 รวมถึงนวนิยาย "พระจันทร์สีน้ำเงิน" กับ "วันวาร" ที่มีเนื้อหาต่อเนื่องกันจาก "เรื่องของน้ำพุ" ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตครอบครัวของผู้ประพันธ์คือ สุวรรณี สุคนธา โดย "วันวาร" เป็นหนังสือเล่มสุดท้าย ที่เธอเขียนยังไม่ทันสมบูรณ์ ก็เสียชีวิตก่อน ซึ่งต่อมาได้ กฤษณา อโศกสิน นักเขียนชื่อดังซึ่งปัจจุบันเป็นศิลปินแห่งชาติที่เป็นเพื่อนสนิทมาเขียนต่อจนจบ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธเนศ เวศร์ภาดา คณบดีคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กรรมการรางวัลซีไรต์หลายสมัย บอกว่า หนังสือที่เกี่ยวกับน้ำพุ ที่สุวรรณีเขียนนั้น ตัวภาพยนตร์เองก็มีส่วนที่มาทำให้หนังสือเหล่านี้โดดเด่นขึ้นมา
“ถ้าจำได้บรรยากาศที่ทำให้หนังสือเป็นที่สนใจขึ้นมาก็มาจากหนัง "น้ำพุ" ซึ่งอำพล ลำพูน เล่นเป็นพระเอก แต่คิดว่าคงมี 2 ปัจจัย ปัจจัยที่ 1 คือตัวภาพยนตร์ ปัจจัยที่ 2 คือการถูกเลือกให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสำหรับเด็กระดับมัธยมศึกษาด้วย ซึ่งทำให้หนังสือเป็นที่รู้จักและถูกใช้งานสำหรับเรื่องของยาเสพติดที่เป็นปัญหาคู่กับเยาวชนมานานแล้ว เพราะโดยตัวเนื้อหาสนับสนุนกันพอดี ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้หนังสือเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างและมีการอ่านสืบเนื่องกันมา
“ถ้าถามว่ามันมีพลังทางปัญญาไหม ซึ่งพูดยากว่ามีอิทธิพลต่อวัยรุ่นได้ขนาดไหน แต่คิดว่าเด็กวัยรุ่นในยุคนั้นน่าจะจำหนังสือเรื่องนี้ได้ดี เพราะเหมือนมีภาพแทนให้เห็น และคิดว่าอิทธิพลอย่างหนึ่งของหนังที่ส่งผลให้สถานที่หนึ่งซึ่งดูแลรักษาคนที่ติดยาเสพติดคือ วัดถ้ำกระบอก เป็นที่รู้จักกันทั่วไป ทำให้รู้ว่าเป็นสถานที่ซึ่งเยียวยาบำบัดคนที่ติดยา ลำพังโดยตัวหนังสือเองคงไม่ช่วยให้รู้จักกันมากมายขนาดนี้ แต่มันก็มีพลังของมันเอง ตัวเด็กเป็นภาคแทนของวัยรุ่นในสังคมไทยยุคหนึ่ง”
สำหรับแนวการเขียนของสุวรรณี สุคนธา นั้น มีสำบัดสำนวนองอาจ อ่อนระรวย หวานแหววแต่ไม่เชย มีความแปลกใหม่ในยุคนั้น ทำให้ได้รับความนิยมอย่างสูง สุวรรณีได้คำจำกัดความงานเขียนของเธอว่า มันเปรียบเหมือนกับการเขียนรูป เพราะเขียนออกมาทันที จากอารมณ์ที่ถูกสิ่งใดสิ่งหนึ่งกระทบ และในขณะเขียนจะปรากฏบุคคลที่มีตัวตน มีสีสันมโนภาพ คำพูดอันคมคายของตัวละคร เปรียบเหมือนกับสีแปรงบนรูปที่เขียน ดร.ธเนศ มองว่า
“ถ้าเป็นเรื่องกลวิธีในการประพันธ์ซึ่งเป็นงานของคุณสุวรรณี มีความน่าอ่านจากการเล่าเรื่องที่ออกมาจากใจจริงๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นน้ำพุที่มีตัวตนจริง ซึ่งส่วนหนึ่งเอามาจากภาพของลูกชาย ภาพครอบครัวนี้ที่เป็นจริง เพราะฉะนั้นเราก็เหมือนได้สัมผัสกับชีวิตของคุณสุวรรณี แล้วเธอเป็นนักเขียนในดวงใจของคนในยุคนั้นด้วย วิธีการเล่าเรื่องเรียบๆ แต่มีลีลาที่ชวนให้ติดตาม เล่าแบบจริงใจไม่ต้องมีจริตที่ซับซ้อน การเล่าแบบชีวประวัติและด้วยภาษาของคุณสุวรรณีเองก็มีเสน่ห์พอให้ติดตาม ในยุคนั้นงานเขียนเชิงที่จะมาเล่าประวัติหรือเอาชีวิตครอบครัวตัวเองมาเล่านั้นไม่ค่อยมี และเล่าด้วยหัวใจของคนเป็นแม่คนหนึ่งซึ่งสร้างความสะเทือนใจอย่างสูง
“น่าเสียดายว่ากาลเวลาเปลี่ยนไป คุณสุวรรณีก็จากไปแล้ว คนก็ลืมเลือนไป ทุกวันนี้แนวการเขียนนวนิยายต่างๆ ก็พัฒนาและเปลี่ยนแปลงไป อยากให้รำลึกถึงคุณสุวรรณีด้วยการอ่านงานของเธออีกครั้ง ถ้าเป็นเยาวชน “เรื่องของน้ำพุ” น่าสนใจมาก เพราะเป็นเรื่องจริงก็จะพบว่าชีวิตมันมีอีกมุมหนึ่ง การรับรู้เรื่องราวของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่หลงทาง ในยุคนี้ก็หาหนังสือเล่มไหนที่กินใจเท่าเล่มนี้ ก็หายากเหมือนกันนะ ทั้งที่ยาเสพติดระบาดมากขึ้น อย่างเรื่องของน้ำพุเป็นชีวิตจริงของครอบครัวคุณสุวรรณี ก็น่าเสียดายถ้าไม่มีการพูดถึงหรือใครอ่านอีกในยุคนี้”
หากจะยกเอาคำนำในหนังสือ “เรื่องของน้ำพุ” ที่สุวรรณีเขียนเกริ่นไว้ว่า
‘มีคนถามข้าพเจ้าเสมอ หลังจากที่น้ำพุได้สิ้นชีวิตแล้วว่า "เลี้ยงลูกยังไง ถึงได้ปล่อยให้ลูกติดเฮโรอีน" ทำให้ต้องนิ่งและไม่อาจจะหาคำตอบได้ แต่ถ้าจะให้ตอบจริงๆ แล้ว ก็จะต้องโทษตัวเองว่า "เลี้ยงลูกไม่เป็น" และถ้าจะถามว่าเหตุไรที่ลูกชายสิ้นชีวิตไปเพราะยาเสพติด จึงเอาเรื่องมาเปิดเผยเพราะไม่ใช่เรื่องที่ดี น่าจะปิดเป็นความลับมากกว่า คำตอบตรงบรรทัดนี้มีอยู่ว่า เพราะไม่อยากให้ลูกคนอื่น ๆ ต้องเสียชีวิตไปเพราะยาเสพติดอีก”
จากบรรทัดนั้นก็เป็นคำตอบสะท้อนให้เห็นว่า เรื่องราวของน้ำพุไม่มีวันล้าสมัย เพราะปัญหาวัยรุ่นและยาเสพติดไม่เคยหายไปจากสังคมไทย...


