ไปดูยักษ์วัดแจ้ง ที่วัดอรุณฯ
การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเหตุที่ว่าอยู่มาวันหนึ่งเสียงใสๆ ของคุณครูคนสวย
เรื่อง : สืบสิน
การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเหตุที่ว่าอยู่มาวันหนึ่งเสียงใสๆ ของคุณครูคนสวย ที่บอกเล่าถึงนิทานเรื่องอิทธิฤทธิ์ของยักษ์วัดแจ้งและวัดโพธิ์ให้ฟังอย่างสนุกสนานตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถมก็แล่นเข้ามาในความทรงจำ และคิดเสมอว่าจะต้องไปเยี่ยมชมพญายักษ์เหล่านั้นสักวันให้จงได้
ที่จำได้อย่างแม่นยำที่คุณครูคนสวยบอกเล่าก็คือ เจ้ายักษ์วัดแจ้งและยักษ์วัดโพธิ์เมื่อครั้งหนึ่งเกิดการต่อสู้กันอย่างอลหม่าน จนที่ละแวกนั้นราบเตียนจนเกิดเป็นตำนานแห่งท่าเตียนขึ้นมาภายหลัง
ใกล้กันนั้นยังมีรูปปั้นของบรรดายักษ์ทั้งวัดแจ้งและวัดโพธิ์ปรากฏให้เห็น ใช่แล้วครับวันนี้เราจะพาไปเยี่ยมชมวัดแจ้ง หรือวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร กันครับ
แต่เดิมนั้นวัดนี้มีชื่อว่า "วัดมะกอก" ตามชื่อ ต.บางมะกอก ซึ่งเป็นตำบลที่ตั้งวัด ภายหลังเปลี่ยนเป็น "วัดมะกอกนอก" เพราะมีวัดสร้างขึ้นใหม่ในตำบลเดียวกันแต่อยู่ลึกเข้าไปในคลองบางกอกใหญ่ ชื่อ "วัดมะกอกใน" เป็นวัดโบราณสร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
ต่อมาในปี พ.ศ. 2310 เมื่อคราวสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมีพระราชประสงค์จะย้ายราชธานีมาตั้ง ณ กรุงธนบุรี จึงเสด็จกรีธาทัพล่องลงมาทางชลมารคถึงหน้าวัดมะกอกนอกนี้เมื่อเวลารุ่งอรุณพอดี จึงทรงเปลี่ยนชื่อจากวัดมะกอกนอกเป็น "วัดแจ้ง" เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งนิมิตที่ได้เสด็จมาถึงวัดนี้เมื่อเวลาอรุณรุ่งพอดิบพอดี
เมื่อพระเจ้าตากสินโปรดให้ย้ายราชธานีมาอยู่ ณ กรุงธนบุรี ก็ได้ทรงสร้างพระราชวังใหม่ มีการขยายเขตพระราชฐาน เป็นเหตุให้วัดแจ้งตั้งอยู่กลางพระราชวัง จึงไม่โปรดให้มีพระสงฆ์จำพรรษา นับเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองเนื่องจากเป็นวัดที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตและพระบาง ซึ่งสมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึก (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) ได้อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญสององค์นี้มาจากลาวในคราวที่เสด็จตีเมืองเวียงจันทน์ได้ในปี พ.ศ. 2322 โดยโปรดให้อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบางขึ้นประดิษฐาน
ครั้นพอรัชกาลที่ 1 เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ได้โปรดให้สร้างพระนครใหม่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาและรื้อกำแพงพระราชวังกรุงธนบุรีออก วัดแจ้งจึงไม่ได้อยู่ในเขตพระราชวังอีกต่อไป พระองค์จึงโปรดให้วัดแจ้งเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษาอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนั้นพระองค์ทรงมอบหมายให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร (รัชกาลที่ 2) เป็นผู้ดำเนินการปฏิสังขรณ์วัดแจ้งไว้ในมณฑป และมีการสมโภชใหญ่ถึง 7 คืน 7 วัน
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 พระองค์ทรงดำเนินการปฏิสังขรณ์ต่อจนเสร็จ ทั้งได้ทรงปั้นหุ่นพระพุทธรูปด้วยฝีพระหัตถ์ และโปรดให้หล่อขึ้นประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ และโปรดให้มีมหรสพสมโภชฉลองวัดในปี พ.ศ. 2363 แล้วโปรดพระราชทานพระนามวัดว่า "วัดอรุณราชธาราม"
แล้วมาเปลี่ยนนามอีกครั้งว่า วัดอรุณราชวราราม เมื่อคราวที่รัชกาลที่ 4 เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พระองค์ได้โปรดให้สร้างและปฏิสังขรณ์สิ่งต่างๆ ในวัดอรุณฯ เพิ่มเติมอีกหลายอย่าง ทั้งยังได้อัญเชิญพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมาบรรจุไว้ที่พระพุทธอาสน์ของพระประธานในพระอุโบสถที่พระองค์พระราชทานนามว่า "พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก" และเมื่อได้ทรงปฏิสังขรณ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้พระราชทานนามวันนี้ขึ้นมาใหม่ ซึ่งใช้เรียกกันมาจนถึงทุกวันนี้
อย่างที่บอกไว้ว่าวัดนี้จะโดดเด่นหลายประการ หนึ่งในนั้นคือมีรูปปั้นของพญายักษ์ที่เล่าไว้ในตำนาน ซึ่งสร้างไว้เฝ้าหน้าประตู โดยพญายักษ์ที่วัดแห่งนี้จะมีด้วยกันสองตน ยืนเฝ้าซุ้มประตูยอดมงกุฎ ได้แก่ ยักษ์กายสีขาวชื่อ สหัสเดชะ และยักษ์กายสีเขียวชื่อ ทศกัณฐ์ ทั้งสองตนจะถูกปั้นด้วยปูน ประดับกระเบื้องเคลือบสีเป็นลวดลายเครื่องแต่งตัวอย่างสวยงาม มือทั้งสองกุมกระบองด้วยท่าทีขรึมขลัง ซึ่งคนโบราณเชื่อว่ายักษ์ที่เฝ้าซุ้มประตูมีอิทธิฤทธิ์ในการขับไล่ภูต ผี ปีศาจ จึงมีหน้าที่ปกปักรักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีค่าที่อยู่ด้านในนั่นเอง
นอกจากนี้ ยังมีพระปรางค์ที่สูงที่สุดในประเทศไทยตั้งเด่นเป็นสง่า สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ความสูงของพระปรางค์ในอดีตนั้นสูงประมาณ 8 วา ประดับประดาไปด้วยกระเบื้องเคลือบ ถ้วยชามแบบสมัยโบราณและเปลือกหอยเป็นลวดลายดอกไม้ ใบไม้ และลายอื่นๆ มีรูปปั้นมารแบกเรียงรายอยู่โดยรอบ น่ายกย่องจริงๆ นอกจากนี้โดยรอบพระปรางค์จะมีขั้นบันไดให้เดินขึ้นไปชม แต่จะขึ้นไปได้ชั้นเดียว เนื่องจากในชั้นสูงๆ ขึ้นไปบันไดชันมาก
ภายในวัดยังมีสถาปัตยกรรมอันมีค่ามากมายให้ได้ชื่นชมกัน ไม่ว่าจะเป็นพระอุโบสถ ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นอาคารยกพื้นสูงหลังคาลด 2 ชั้น มุงด้วยกระเบื้องสีเหลือง ขอบเป็นกระเบื้องสีเขียวใบไม้ ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ลงรักปิดทองประดับกระจกอย่างสวยงาม และมีพระประธานในพระอุโบสถมีพระนามว่า "พระพุทธธรรมมิศราชโลกธาตุดิลก" เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ภายในพระพุทธอาสน์บรรจุพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเอาไว้ให้สักการะด้วย
ใกล้กันยังเป็นพระวิหาร เป็นอาคารยกพื้นสูง หลังคาลดหลั่น 3 ชั้น มุงด้วยกระเบื้องเคลือบสี หน้าบันมีรูปเทวดาถือพระขรรค์นั่งบนแท่น ประดับด้วยลายกนกลงรักปิดทองประดับกระจก มีมุขทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ผนังด้านนอกประดับกระเบื้องเคลือบสีลายก้านแย่งขบวนไทย เป็นกระเบื้องที่รัชกาลที่ 3 ทรงสั่งมาจากเมืองจีน พระประธานในพระวิหารคือพระพุทธชัมภูนุทมหาบุรุษลักขณาอสีตยานุบพิตร นอกจากนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานของพระอรุณและพระพุทธรูปปางมารวิชัยอีกด้วย
ยังมีหอไตร 2 หลัง หลังแรกตั้งอยู่ทางด้านหน้าของกุฏิคณะ 1 ใกล้กับสระน้ำและรั้วด้านตะวันตกของพระปรางค์ ไม่มีช่อฟ้าใบระกา เป็นปูนปั้นประดับกระเบื้องถ้วยเป็นชิ้นๆ หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสี กรอบหน้าต่างเป็นปูนปั้นลายดอกไม้ลงรักปิดทอง ส่วนหลังที่สองอยู่มุมทางด้านเหนือหน้าคณะ 7 มีช่อฟ้าใบระกาลงรักปิดทองประดับกระจก บานหน้าต่างเป็นลายรดน้ำรูปดอกไม้
หอระฆัง มี 2 หลัง หลังแรกตั้งอยู่ทางด้านเหนือหลังพระวิหารใกล้กำแพงที่กั้นเป็นเขตพุทธาวาสด้านตะวันตกกับศาลาราย สูง 3 ชั้น มุงด้วยกระเบื้องเคลือบมีลายปูนปั้นประดับเครื่องถ้วยที่หน้าบันเป็นลายดอกไม้ปักอยู่ในพาน แขวนระฆังธรรมดา ส่วนอีกหลังหนึ่งสูง 3 เมตรเช่นกัน อยู่ทางใต้แขวนระฆังกังสดาลแผ่นหนาเป็นวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 ฟุต พระเจดีย์ 4 องค์ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ตั้งอยู่ระหว่างพระอุโบสถด้านใต้กับมณฑปพระพุทธบาทจำลอง เรียงเป็นแถวตรงจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ห่างกันพอสมควร เป็นเจดีย์แบบเดียวกันและมีขนาดเท่ากัน ก่ออิฐถือปูนย่อเหลี่ยมไม้ยี่สิบ ประดับด้วยกระเบื้องถ้วยและกระจกสีต่างๆ เป็นลายดอกไม้และลายอื่นๆ มีฐานทักษิณ 1 ชั้น มีบันไดขึ้นลงทางด้านเหนือ บริเวณพระเจดีย์ติดกับพระระเบียงอุโบสถปูด้วยกระเบื้องหิน
รวมไปถึงศาลาท่าน้ำรูปเก๋งจีน มี 6 หลัง มีลักษณะเหมือนกัน คือ หลังคาเป็นรูปเก๋งจีน มียกพื้นสำหรับนั่งพักทำด้วยหินทรายสีเขียว โดยเฉพาะศาลา 3 หลังที่ตรงกับซุ้มประตูนั้น มีแท่นสีเขียววางอยู่ตรงกลาง เข้าใจว่าเป็นที่สำหรับวางของ และด้านหลังมีรูปกินรีแบบจีนทำด้วยหินทรายสีเขียวตั้งอยู่ถึง 2 ตัว
นอกจากนี้ รอบๆ บริเวณวัดเราจะสังเกตเห็นตุ๊กตาหินจีนจำนวนมาก ซึ่งวัดอรุณฯ จัดเป็นหนึ่งใน 4 วัดที่มีตุ๊กตาหินจีนอยู่มากที่สุด
หลังจากเพลิดเพลินกับสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าของวัดนี้จนเต็มอิ่ม จึงมานั่งพักที่ศาลาท่าน้ำอันเย็นฉ่ำ พร้อมกับนั่งมองอาทิตย์แสงสุดท้ายสั่งลา ในใจนึกชื่นชมฝีมือของช่างโบราณในยุคนั้นที่มีฝีไม้ลายมือขั้นเทพจริงๆ ทำให้เราได้เห็นสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่ามากันจนถึงทุกวันนี้


