‘เหลื่อง ลิดดัง’ ชีวิตที่เริ่มจากดินสู่ดาว
ท่ามกลางกระแสการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปี 2558
โดย...จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์
ท่ามกลางกระแสการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปี 2558 บรรดาผู้ประกอบการไทยต่างตื่นตัวจะไปขยายตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน ในทางกลับกัน เพื่อนบ้านเองก็หวังใช้ไทยเป็นฐานขยายธุรกิจด้วยเช่นกัน หนึ่งในนั้นมีตระกูลลิดดัง เจ้าของกลุ่มบริษัท ดาวเฮือง เศรษฐีที่รวยติดอันดับ 1 ใน 3 ของแขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวรวมอยู่ด้วย
บริษัท ดาวเฮือง ได้สร้างแบรนด์ “ดาวคอฟฟี่” กาแฟลาว ให้มีชื่อเสียงได้ในระดับโลก ล่าสุดก็มีตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดาวคอฟฟี่ในไทย และกำลังสร้างร้านกาแฟต้นแบบดาวคอฟฟี่ ที่สาขาสยาม เป็นการรุกตลาดกาแฟไทยอย่างจริงจัง แต่กว่าจะมาถึงทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งในตระกูลลิดดัง ที่มีส่วนอย่างมากทำให้แบรนด์กาแฟลาวดังทะลุประเทศอย่างทุกวันนี้ คือ “เหลื่อง ลิดดัง” หรือคนลาวเรียกติดปากว่า “เจ๊เฮือง” ซึ่งเป็นชื่อเล่นของเธอ
เจ๊เฮือง เป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มธุรกิจดาวเรือง เธอไม่ใช่ชาวลาวโดยกำเนิด แต่เป็นชาวเวียดนามที่มาแต่งงานกับ ฮาว ลิดดัง นายแพทย์ผู้ใจบุญชาวลาวที่ชอบช่วยเหลือคนไข้ที่ขัดสนในลาว สมัยเด็กเจ๊เฮืองมีความเป็นอยู่ลำบาก ต้องนำเนื้อไปขายในตลาดเพื่อหารายได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง โดยที่เธอก็ไม่ได้มีเงินค่าเช่าแผงขายเนื้อในตลาด ทุกวันจะรอให้แม่ค้าขายเนื้อที่เช่าแผงอยู่ขายจนหมดก่อน เธอก็จะนำเนื้อไปขายแทนที่แม่ค้าคนนั้น และจากความยากลำบาก รวมทั้งต้องเป็นแม่ค้าแต่เด็ก ทำให้เจ๊เฮืองเข้าใจและเห็นใจคนที่ลำบาก ต้องการยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือคนเหล่านั้น หากสามารถทำได้
เมื่อเธอค้าขายจนเริ่มตั้งตัวได้ จากการทำร้านจำหน่ายสินค้าปลอดภาษีตามแนวชายแดนลาว และสร้างตลาดดาวเฮือง ตลาดสดให้พ่อค้าแม่ค้าค้าขาย และเห็นว่าภาครัฐของลาวมีนโยบายสนับสนุนให้คนลาวปลูกกาแฟเพื่อส่งออกสร้างรายได้ นำเงินตราต่างประเทศเข้ามา เจ๊เฮืองและหมอฮาวจึงตัดสินใจสนับสนุนนโยบายรัฐเรื่องการปลูกกาแฟ ไปศึกษาวิธีปลูก จนถึงการผลิตกาแฟจากเวียดนาม
เมื่อต้องเริ่มต้นทำอะไรสักอย่างที่ไม่เคยทำและไม่ถนัดอย่างการปลูกและผลิตกาแฟ ที่ไม่ใช่การเดินบนเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่มีหนามแหลมเป็นอุปสรรคให้ฝ่าฟัน เจ๊เฮืองคิดว่าก่อนมีวันนี้เธอเคยลำบากมาก่อน ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรที่ยาก ก็จะไม่รู้สึกกลัว และการทำธุรกิจจะทำแบบสบายๆ ทำสำเร็จก็เดินหน้าต่อ ไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร พร้อมเริ่มใหม่เสมอ
ด้วยเหตุนี้ทำให้การปลูกและผลิตกาแฟภายใต้แบรนด์ดาวคอฟฟี่สำเร็จไปได้ด้วยดี โดยมีเนื้อที่ปลูกกาแฟเอง 1,500 ไร่ แต่กว่าจะผลิตจำหน่ายได้ เจ๊เฮืองก็เน้นว่าต้องทำทุกอย่างออกมาให้ดีที่สุด เมื่อจะทำกาแฟให้คนอื่นดื่ม ต้องทดลองจนรู้สึกว่าได้กาแฟรสชาติดีที่สุดก่อน เพราะมีแนวคิดว่า ถ้าทำไม่ดี ก็จะไม่สบายใจ
นอกจากนี้ ยังมีเกษตรกรในลาวอีกกว่า 2,000 ครอบครัว เข้าร่วมโครงการเกษตรพันธสัญญา หรือคอนแทรกต์ฟาร์มมิ่ง ปลูกกาแฟส่งจำหน่ายให้กลุ่มบริษัท ดาวเฮือง โดยที่บริษัทจะสนับสนุนเมล็ดพันธุ์กาแฟให้ไปปลูกฟรี พร้อมให้ข้าวสารกับเกษตรกรเหล่านี้ไว้ใช้หุงรับประทานในครัวเรือน ระหว่างที่ต้นกาแฟที่ปลูกยังโตไม่เต็มที่และตัดขายไม่ได้ เพราะเล็งเห็นว่าหากไม่เข้าไปช่วยเหลืออาจทำให้เกษตรกรเหล่านั้นต้องเก็บเมล็ดกาแฟออกมาขายทั้งที่ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ ซึ่งได้ราคาไม่ดี เมล็ดกาแฟไม่มีคุณภาพ ไม่เป็นผลดีกับเกษตรกรเอง เมื่อเกษตรกรเหล่านี้ปลูกกาแฟจนครบเวลา 5 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่เมล็ดกาแฟมีคุณภาพเหมาะสมเก็บมาผลิต เกษตรกรก็จะใช้หนี้คืนให้กลุ่มบริษัท ดาวเฮือง เป็นเมล็ดกาแฟ 12 ปี เมื่อจ่ายหนี้หมดจะเลือกเก็บเมล็ดกาแฟไปขายให้ผู้ประกอบการรายอื่นที่ไม่ใช่กลุ่มบริษัท ดาวเฮือง ก็ทำได้ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมากลับพบว่า เกษตรกร 99% ยังเลือกขายเมล็ดกาแฟให้กลุ่มบริษัท ดาวเฮือง อยู่เช่นเดิม
จากการสำรวจพบว่า เกษตรกรแต่ละครัวเรือนที่เดิมแทบไม่มีเงินเก็บเลย กลับมีเงินเก็บเหลือใช้ได้ถึง 1020 ล้านกีบ/ปี/ครัวเรือน หรือเกือบ 1 แสนบาทนั่นเอง การที่เกษตรกรยังเลือกขายเมล็ดกาแฟให้กลุ่มบริษัท ดาวเฮือง เพราะเจ๊เฮืองยึดหลักความซื่อสัตย์และจริงใจในการทำธุรกิจ เชื่อว่าหากเกษตรกรอยู่ได้ บริษัทก็อยู่ได้ และการติดต่อค้าขายกับเกษตรกร ก็จะประกาศราคากลางที่รับซื้อให้ทราบชัดเจน เป็นราคาที่สูงเมื่อเทียบกับในตลาดล่าสุด
เมื่อรุกตลาดเข้าไทย เจ๊เฮืองถึงเอาแนวคิดดังกล่าวมาใช้ โดยการซื้อเมล็ดกาแฟอราบิกาจากจังหวัดทางภาคเหนือของไทย หากเกษตรกรปลูกจนได้เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพตามที่ต้องการ และส่งเสริมเกษตรกรใน จ.อุบลราชธานี ปลูกเผือกเพื่อจำหน่ายให้กลุ่มบริษัท ดาวเฮือง ไปผลิตเป็นเผือกอบแห้งจำหน่ายในปัจจุบัน โดยเจ๊เฮืองได้มอบหมายให้ “บุนเฮือง ลิดดัง” บุตรสาวคนโต รับตำแหน่งรองประธานกรรมการกลุ่มบริษัท ดาวเฮือง ดูแลธุรกิจอย่างเต็มที่ โดยที่ตัวเจ๊เฮืองคอยอยู่เบื้องหลัง เพื่อให้ได้แนวคิดขยายธุรกิจใหม่ๆ
สิ่งที่เจ๊เฮืองสอนบุตรสาวในการทำธุรกิจ คือ การเอาใจใส่พนักงาน พยายามพูดคุยกับพนักงานเรื่อยๆ เพราะหากมีปัญหาอะไร จะได้รีบแก้ไขให้ทันท่วงที ไม่ใช่ว่าเป็นผู้บริหารระดับสูงสุดในบริษัท พนักงานผู้น้อยจะไม่ค่อยมีโอกาสเข้าพบ
เจ๊เฮือง บอกว่า แม้จะประสบความสำเร็จจากหลากหลายธุรกิจ แต่ถึงวันนี้ก็ยังอยากทำอะไรอีกหลายอย่าง มีเพื่อนๆ ชักชวนให้ทำตลอดเวลา ล่าสุดเพื่อนก็เพิ่งชักชวนให้ทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่เจ๊เฮืองยังไม่ได้ตัดสินใจร่วมทำ
บุนเฮือง ลิดดัง หรือแครอล บุตรสาวคนโต เสริมว่า แม่ของเธอมักชอบทดลองทำสินค้าใหม่ๆ ตลอดเวลา ส่วนใหญ่เริ่มจากการทดลองทำใช้เองในครัวเรือนและแบ่งปันเพื่อน จากนั้นหากเห็นว่ากระแสตอบรับดี มีโอกาสขายได้ ก็จะให้ทำขาย เช่น ชาเขียว ที่พ่อของเธอ (ฮาว ลิดดัง) ทดลองปลูกเพื่อเก็บใบชามาชงดื่มเองที่บ้าน จากนั้นไม่นาน แม่ของเธอได้ชิมแล้วพบว่าชารสชาติดี จึงมีแนวคิดปลูกชาเพื่อขาย แต่ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทดลองตลาดไปเรื่อยๆ รวมทั้งค่อยๆ คัดสรรจนกว่าจะได้ชาที่ดีที่สุดก่อน จึงจะขายอย่างเป็นทางการ
นอกจากนี้ ยังมีน้ำดื่ม ที่เดิมพ่อของเธอตั้งใจผลิตน้ำดื่มสำหรับให้คนงานในโรงงานกาแฟดื่ม จะได้ไม่ต้องไปซื้อหาน้ำดื่มให้เปลืองเงิน แต่หลังจากผลิตไม่นาน แม่ของเธอก็ประกาศทันทีว่า จะทำน้ำดื่มไว้จำหน่ายด้วย ซึ่งในระยะแรกก็สร้างโรงงานเล็กๆ ในพื้นที่เดียวกับโรงงานกาแฟ ตั้งใจเพียงจำหน่ายภายในแขวงจำปาสัก แต่ปรากฏว่ามีความต้องการในประเทศลาวมาก ภายในเวลาไม่ถึง 1 ปีหลังจากจำหน่าย จึงต้องสร้างโรงงานใหม่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตให้เพียงพอ
สำหรับสิ่งอื่นๆ ที่แม่เธอเคยทดลองทำ แล้วก็นำออกมาจำหน่ายจริงก็คือ ผลไม้อบแห้ง เพราะแม่เห็นว่าเกษตรกรลาวผลิตผลไม้ออกมามากจนเกินความต้องการของตลาด จึงทดลองซื้อมาอบแห้ง แล้วนำไปให้คนที่รู้จักชิม เมื่อได้รับกระแสตอบรับว่าอร่อยแล้ว ก็ตัดสินใจผลิตจำหน่าย และเมื่อไม่นานมานี้ แม่ของเธอก็เพิ่งทดลองทำไอศกรีมทุเรียนรับประทาน ถ้ารสชาติออกมาดี เชื่อว่าแม่ก็คงคิดจะทำขายเช่นกัน แต่ผลที่ออกมายังไม่เป็นที่น่าพอใจ จึงยังไม่มีแผนขาย
แครอล ทิ้งท้ายไว้ว่า ชื่อบริษัท ดาวเฮือง นั้น หลายคนอาจจะคิดว่ามาจากคำว่า ดาวเรือง เป็นชื่อดอกไม้ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย คำว่า ดาว ก็คือดาวบนท้องฟ้า ส่วน เฮือง เป็นชื่อเล่นของแม่เธอ รวมกันแล้วสื่อความหมายว่า เป็นกลุ่มบริษัทที่สว่างไสวอยู่บนฟ้า ดังนั้นรุ่นลูกเช่นเธอก็พร้อมจะขับเคลื่อนให้กลุ่มบริษัท ดาวเฮือง เป็นดาวสว่างบนฟ้าต่อไป
นี่คือวิถีทางที่ เหลื่อง ลิดดัง ทำธุรกิจจนเติบโตขึ้นแท่นเศรษฐีอันดับต้นๆ ในแขวงจำปาสัก จะเห็นได้ว่าแนวคิดของเธอไม่ได้นึกถึงเพียงประโยชน์ของครอบครัวตัวเองอย่างเดียว แต่ยังเผื่อแผ่ไปถึงประชาชนในลาวด้วย เพราะเชื่อว่าถ้าคนลาวอยู่ดีกินดีขึ้น กลุ่มบริษัท ดาวเฮือง ก็จะอยู่ได้มั่นคงเช่นกัน ซึ่งหลังจากนี้เจ๊เฮืองก็ฝากฝังให้รุ่นลูกสานต่อธุรกิจของครอบครัวที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้วให้แข็งแกร่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะ “ดาวคอฟฟี่” แบรนด์กาแฟชื่อดังที่ทำชื่อเสียงให้ประเทศลาวอยู่ในวันนี้


