โลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ
โดย...ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย
โดย...ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย
มีลูกศิษย์มาเล่าให้ฟังว่า ตอนไปสอบเป็นนักศึกษาใหม่หลังจากผ่านข้อเขียนแล้วต้องไปสอบสัมภาษณ์ แล้วก็ต้องสอบเป็นภาษาอังกฤษด้วย จึงไปเรียนพิเศษ ครูก็แสนดีสอนให้ท่องข้อสอบมาเป็นสูตรสำเร็จเลย เช่น พอถูกถามว่า ฮาวอาร์ยู ก็ตอบว่า แอมไฟน์ แต่พอไปเจอคนสัมภาษณ์ตัวจริง เขาไม่ได้ถาม ฮาวอาร์ยู แต่ก็จำเป็นต้องตอบแอมไฟน์ทั้งหมด ครูผู้สัมภาษณ์หัวเราะตลอด
เด็กคนนี้มาเล่าให้อาตมาฟัง เขารักครูผู้สัมภาษณ์คนนั้นมาก เขาบอกว่าเรียนหนังสือแล้วถ้าตอบผิดเหมือนกับว่าไปฆ่าคนมา รู้สึกเหมือนมีความผิดอย่างรุนแรง แต่ครูผู้สัมภาษณ์ก็ไม่โกรธกลับหัวเราะและค่อยๆ อธิบายเพิ่มให้เขาเข้าใจว่า การพูดภาษาอังกฤษผิดๆ ถูกๆ ไม่ได้หมายความว่าชีวิตไม่มีคุณค่าอีกแล้ว คนที่มีธรรมะ คนที่ปฏิบัติธรรมคือคนที่มีอารมณ์ขัน เข้าใจโลก เข้าใจว่าเด็กไม่พร้อม เพราะฉะนั้นไม่คาดหวังสูง บางคนเอาต้นกุหลาบไปปลูก 3 สัปดาห์แค่นั้นเห็นผลแล้ว แต่ถ้าสอนภาษาอังกฤษ 3 เดือน ต้องการเห็นผล พอเด็กพูดไม่ได้ โกรธเด็ก อย่างนี้ไม่ได้ ถ้ามีธรรมะต้องมองออกว่าเป็นธรรมดา ถ้าปัจจัยไม่สมบูรณ์ ได้แค่นี้ก็บุญแล้ว ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว ก็หัวเราะได้ มีความสุข มีทัศนคติที่ดี
การที่เราพูดผิดไม่ใช่ว่าเราไปทำอาชญากรรมมา พูดผิดเราก็พูดใหม่ได้ แค่นั้นเอง เราล้มเราก็ลุกใหม่ได้ แค่นั้นเอง เหมือนเวลาเราไปปฏิบัติธรรม บางคนบอกว่า กลัวศีลไม่บริสุทธิ์ จึงไม่อยากปฏิบัติธรรม อาจารย์ของอาตมาท่านบอกว่า ในการปฏิบัติธรรมนั้นอย่ารอให้ตัวเองมีศีลบริสุทธิ์เสียก่อน จึงคิดปฏิบัติธรรม แท้จริงแล้วการปฏิบัติธรรมนั้นขอแค่คุณเป็นคนและมีลมหายใจ แค่นั้นก็มาฝึกธรรมะได้เลย
ถ้าถามว่า ทุกคนศีลบริสุทธิ์หรือไม่ ต้องตอบว่า ไม่เลย คนเรากระดำกระด่างกันมาแทบทุกคน ทุกคนที่มาปฏิบัติธรรมทั้งหมด หากบอกว่าศีลบริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ คนที่พูดแบบนี้เสี่ยงต่อการโกหกมาก ไม่ผิดศีลข้อนั้นก็ผิดข้อนี้ บางคนศีลทั้งห้าข้อผิดทะลุเรียงข้อมาเลยก็มี แต่อาจารย์ของอาตมาท่านจะบอกลูกศิษย์ที่มาปฏิบัติธรรมกับท่านด้วยความเข้าใจโลกและชีวิต ว่าขอแค่เป็นคนและมีลมหายใจและตั้งใจมาปฏิบัติธรรมเดี๋ยวก็มีศีลขึ้นมาเอง
การทำงานก็เหมือนกับการปฏิบัติธรรมที่กล่าวมาข้างต้น นั่นคือ หากเราอยากให้งานได้ผล สิ่งแรกก็คือเราต้องมีทัศนคติที่ดีในการทำงานเสียก่อน อาตมภาพพูดอยู่เสมอว่าพื้นฐานของมนุษย์คือความไม่สมบูรณ์ ธรรมชาติของมนุษย์ไม่ได้เกิดมาจากความสมบูรณ์ คนที่คิดว่าตนเองสมบูรณ์ที่สุด คือ คนที่ไม่เข้าใจโลกและชีวิต คนเช่นนี้ เมื่อดำเนินชีวิตไปก็จะทุกข์มากกว่าคนทั่วไปมหาศาล
จริงๆ แล้วโลกทั้งโลกไม่มีอะไรสมบูรณ์ แต่ว่าเราจะทำให้มันสมบูรณ์ได้ไหมก็ทำได้ อะไรๆ มันก็สมบูรณ์พอกล้อมแกล้มไปได้ คือ ให้เราตระหนักไว้ว่าไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบ เผื่อว่าในวันหนึ่งพนักงานของเราทำงานแล้วไม่เต็มร้อย ถ้าเราจะดุเขาก็ขอให้ดุแค่ครึ่งหนึ่งก็พอ อีกครึ่งหนึ่งขอให้เราเข้าใจว่าโลกมันเป็นเช่นนี้ ไม่มีอะไรเต็มร้อยสมบูรณ์ครบถ้วน
คนที่ดีที่สุด เช่น พระพุทธเจ้า ยังคงถูกชาวบ้านด่าเจ็ดวันเจ็ดคืนนับประสาอะไรกับปุถุชนคนธรรมดาอย่างเรา ในสมัยที่พระเยซูสอนศาสนาก็เช่นเดียวกัน วันหนึ่งมีชาวบ้านคนหนึ่งจับได้ว่าภรรยาคบชู้สู่ชายกะว่าจะลงโทษให้ถึงตาย ผู้หญิงคนนี้ก็วิ่งหนี คนเป็นร้อยวิ่งถือท่อนไม้กรูตามกันไป ผู้หญิงคนนี้วิ่งไปจนมุมตรงหน้าที่พำนักของพระเยซูแล้วก็ไปก้มกราบแทบพระบาทของพระเยซูพลางอ้อนวอนว่า ถ้าพระองค์ไม่เป็นที่พึ่ง ลูกก็หมดที่พึ่งแล้ว พอกลุ่มคนวิ่งตามมาทันก็บอกว่า พระองค์ต้องช่วยตัดสิน แล้วก็ต้องตัดสินอย่างยุติธรรมด้วย
ก่อนที่จะตัดสินพระเยซูก็ตรัสถามว่า ในที่นี้มีใครบ้างที่ไม่เคยทำผิดมาก่อน ใครที่ไม่เคยทำผิดขอให้ก้าวออกมาข้างนอก จะให้คนคนนั้นมาพิพากษาผู้หญิงคนนี้ พอพระเยซูตรัสเสร็จ ทุกคนนิ่งหมด
เพราะในชีวิตทุกคนเคยทำผิดมาแล้วทั้งนั้น ไม่ทำผิดมากก็ทำผิดน้อย คนที่ไม่เคยทำผิดเลยแทบไม่มีในโลก เห็นดังนั้นแล้ว พระองค์ก็สรุปว่า สุดท้ายก็ไม่มีใครที่พร้อมจะตัดสินผู้หญิงคนนี้ใช่ไหม ตัวฉันเองก็เคยทำผิด ในเมื่อทุกท่านล้วนทำผิด ทำไมไม่เคยคิดพิพากษาตนเอง ต่อตัวเองกลับผ่อนปรน แต่กับคนอื่นทำไมจึงคาดคั้นให้เขาสมบูรณ์แบบ ดังนั้น ผู้หญิงคนนั้นก็รอดตาย เพราะไม่มีใครกล้าพิพากษาเธอ
ถ้าเราเข้าใจสัจธรรมของมนุษย์ว่า โดยสัจธรรมพื้นฐานแล้วไม่มีใครสมบูรณ์ก็จะเรียกร้องจากคนอื่นน้อยลง และเข้าใจตนเองมากขึ้น ครูบาอาจารย์ต้องการให้ลูกศิษย์ทำข้อสอบได้ แต่คนทุกคนมีขีดจำกัดไม่เหมือนกัน พอเขาทำไม่ได้ตามเป้าหมายเขาก็จะมองว่า ตัวเองโง่ ไร้ค่า และไม่มีความหมาย ลูกศิษย์บางคนเก่งภาษาต่างชาติ แต่ภาษาไทยไม่ได้เรื่อง ครูสอนภาษาไทยอยากให้เขาเก่งภาษาไทย แต่เด็กไม่รู้เรื่อง หาว่าเด็กโง่ ในระบบการศึกษาจะเห็นความเข้าใจผิดเช่นนี้อยู่ทั่วไป
ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติของเด็กว่าไม่มีใครดีที่สุด เพราะว่าคนทุกคนก็จะได้อย่างเสียอย่าง ส่วนไหนที่เขาเสียเราก็พยายามมองข้ามแล้วหันมาช่วยกันพัฒนาส่วนที่ดีให้มันดีที่สุด คนที่ไม่เข้าใจโลกคิดอยากให้ไก่ว่ายน้ำดีเท่าเป็ด และอยากให้เป็ดขันดีเสมอไก่ จะกลายเป็นคนที่มีชีวิตทุกข์ตรมขมไหม้ เขาจะทุกข์มากมาย ไม่ใช่จากการกระทำของคนอื่น แต่ทุกข์เพราะโลกทัศน์อันผิดพลาดของตัวเองต่างหาก
ถ้าเราพบว่าในชีวิตไม่มีอะไรดีที่สุด หาคนสมบูรณ์แบบแทบไม่ได้ ก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะว่าคนเราทุกคนมีความไม่สมบูรณ์เป็นพื้นฐานของชีวิต แม้แต่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมครั้งแรกมีคนฟังแค่ 5 คน ใน 5 คนนั้นก็บรรลุธรรมเพียงคนเดียว แล้วเราเป็นใครถึงจะทำสำเร็จไปทุกสิ่งทุกอย่าง สมบูรณ์แบบไปเสียทุกเรื่อง
การที่เราตระหนักรู้ความจริงของโลกและชีวิตว่าวางรากฐานอยู่บนความไม่สมบูรณ์เช่นนี้ จะทำให้เราไม่เป็นคนสุดโต่งเกินไป ไม่เรียกร้องมากเกินไป แต่จะเป็นคนที่ยืดหยุ่น ผ่อนปรนได้ พร้อมจะเข้าใจคน เข้าใจงานและเข้าใจโลก


