ครอบครัวมาลีสามพราน ‘เลี้ยงลูกแบบให้อิสระ’
ครอบครัว “บุญรัตน์” เจ้าของบริษัท มาลีสามพราน (MALEE) ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มน้ำผลไม้
โดย...บงกชรัตน์ สร้อยทอง ภาพ ประกฤษณ์ จันทะวงษ์
ครอบครัว “บุญรัตน์” เจ้าของบริษัท มาลีสามพราน (MALEE) ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มน้ำผลไม้ ที่คุณพ่อ “ฉัตรชัย บุญรัตน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ลูกสาวคนสุดท้อง “แจงรุ่งฉัตร บุญรัตน์” มาเป็นกรรมการและรองผู้จัดการใหญ่สายการขายและการตลาดได้ประมาณ 2 ปี เริ่มต้นเป็นผู้บริหารด้วยวัยเพียง 26 ปี
ขณะที่พี่ชายและพี่สาวได้เลือกเดินตามเส้นทางชีวิตตัวเอง เพราะนโยบายบ้านนี้ไม่มีแผนแม่บทออกบังคับว่าลูกทุกคนต้องมาทำงานครอบครัว ทั้งธุรกิจมาลีสามพรานของคุณพ่อ หรือที่เครือกลุ่มเซ็นทรัลที่ทำงานของคุณแม่ “จินตนา บุญรัตน์” (นามสกุลเดิม จิราธิวัฒน์)
ฉัตรชัย : ลูกต้องคิดเอง
เห็นแววความมุ่งมั่นของเขามาตั้งแต่เด็กเพราะจบ ป.6 เขาก็เดินมาบอกเราเองว่าจะขอไปเรียนไฮสกูลที่สหรัฐตามพี่ชายและพี่สาว ซึ่งเราก็เลือกโรงเรียนให้ แต่พอถึงระดับปริญญาตรีขึ้นไปก็ให้เขาได้เลือกเรียนได้เต็มที่ว่าจะเป็นที่ไหน แถมยังเป็นคนชอบเรียนรู้เพราะปิดเทอมจะขอไปฝึกงานที่นั่นที่นี่ตลอด
ตอนช่วงที่เขากำลังฝึกหรือมองว่าตกลง 2 ธุรกิจที่เขามีทางเลือก คือ ที่มาลีสามพรานกับเซ็นทรัล เขาก็จะทำเต็มที่ อย่างที่มาลีสามพรานก็เริ่มตั้งแต่เป็นพนักงานขาย ออกต่างจังหวัด หรือฝ่ายต่างๆ ซึ่งเขาก็ได้เห็นและสัมผัสด้วยตัวเองว่าสภาพความเป็นจริงในการทำงานแต่ละฝ่ายเป็นอย่างไร
เมื่อเขาเลือกมาทำงานที่มาลีสามพราน ทั้งที่ไม่บังคับ ส่วนหนึ่งเขาคงเห็นว่าเราก็อายุก็ 65 ปีแล้ว คงอยากช่วย แต่เราก็จะบอกอย่างเดียวว่าไม่ต้องห่วงว่าจะต้องมาสานต่องานที่บ้าน ให้เลือกงานที่เขาทำแล้วเขามีความสุข
ช่วงที่แจงเข้ามาช่วยก็เป็นช่วงหลังเกิดน้ำท่วมหนักปี 2554 ทุกอย่างชะลอตัวและเป็นช่วงที่บริษัทกำลังปรับปรุงสิ่งที่ผิดพลาดในอดีตเพื่อรอวันที่บริษัทฟื้นตัว ซึ่งก็จะบอกเขาว่าให้ทำอย่างที่คิด เพียงแต่นำเหตุการณ์ในอดีตที่ผิดพลาดไว้เป็นบทเรียน
“เห็นแววความมุ่งมั่นและความตั้งใจของแจงมาตั้งแต่เด็ก เพราะเขาจะเป็นคนที่จะทำอะไรมีเป้าหมายที่ชัดเจน มีกำหนดเวลา วางแผนและหาวิธีการที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายได้ ซึ่งเมื่อเขาตัดสินใจมาช่วยงานเชื่อว่าเขาจะทำได้ดีกว่า เพราะมีความรู้มากกว่า มีระบบเทคโนโลยีเข้ามา เราแค่บอกเล่าประสบการณ์ แนะวิธีที่เราเคยผ่านทั้งดีและไม่ดี ก็ทำให้เขาเรียนรู้จากเราและเราก็เรียนรู้จากเขา”
ให้อิสระลูกทั้ง 3 คนเต็มที่ เพราะชีวิตเป็นของเขา เขามีโอกาสเลือกและตัดสินใจเองว่าจะเดินไปทางไหน พ่อแม่เป็นแค่เพียงผู้แนะนำทางได้เท่านั้น พี่ชายคนโตกับพี่สาวคนกลางของแจงเขาก็มีทางเลือกของชีวิตเขา เพียงแต่แจงเขาเลือกมาช่วยผม ซึ่งพอเขาเริ่มต้นทำธุรกิจตอนอายุ 26 ปี ต้องถือว่าแจงมีจุดเริ่มต้นที่ดีกว่า ฉะนั้น ทางเดินข้างหน้าเขาจะรู้สึกสนุกกับงานหรือทำอย่างไรให้ชีวิตเขามีความสุข เขาจะต้องเป็นคนทำเอง
“แรกๆ ตอนเข้ามาทำงานที่นี่เครียดมากจนมีผลต่อสุขภาพ แต่ผมจะไม่โอ๋เขา เพราะไม่อย่างนั้นแจงจะไม่แกร่ง ยิ่งการได้เป็นผู้บริหารบริษัทมหาชนก่อนอายุ 30 ปี ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับคนรุ่นเดียวกันมาก”
ถึงวันนี้ก็ภูมิใจกับทางที่เขาเลือกเดินที่เขาตัดสินใจมาช่วยเรา ดีเสียอีกเราจะได้มีเวลาไปออกรอบตีกอล์ฟได้มากขึ้น ระหว่างนี้เราก็เป็นที่ปรึกษา แต่จะไม่มีการก้าวก่ายงานของลูก เขาจะได้เดินได้อย่างเต็มที่ อะไรดีไม่ดีประสบการณ์จะเป็นคนสอนเขาเอง แต่ตอนนี้เชื่อว่าเขาจะเดินในเส้นทางสายนี้เป็น แต่จะดีที่สุดหรือไม่นั้นแจงต้องเป็นคนพิสูจน์เอง
แจงรุ่งฉัตร : พ่อสอนให้มีเหตุผล
โชคดีที่บ้านเลี้ยงลูกให้อิสระทางความคิดมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ลูกทุกคนมีโอกาสได้ลองและสัมผัสกับสิ่งที่ตัวเองอยากทำ จนทำให้เราได้เลือกทำในสิ่งที่ชอบมากที่สุด ได้เลือกชีวิตเองว่าอยากไปเรียนที่สหรัฐตั้งแต่จบ ป.6 เหมือนพี่ชายและพี่สาว ซึ่งแต่ละคนก็อยู่กันคนละโรงเรียน หรือจะเรียกได้ว่าทุกคนต่างก็ชอบกับความอิสระที่พ่อกับแม่ให้
ฉะนั้นตอนนั้นต่างก็จะสนิทกับเพื่อนมากกว่าพี่น้อง อย่างตอนปิดเทอมภาคฤดูร้อนก็ไม่ได้บังคับต้องทำอะไรหรือต้องกลับบ้าน ตั้งแต่อายุ 15 ปี เป็นต้นมา ก็เลยได้ลองใช้ชีวิตฝึกงานมาตลอดทั้งที่เมืองไทยหรือต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นฝึกการเขียนคอลัมน์ในนิตยสาร งานประชาสัมพันธ์ ซึ่งรู้สึกว่าโชคดีที่ทำให้โอกาสได้ทดลองทำอะไรมากมาย
“แม้เราจะเห็นพ่อกับแม่ทำงานหนักมาตลอด แต่เราก็เข้าใจว่าอย่างไรพ่อกับแม่ก็ต้องรักลูกมากกว่าธุรกิจ และการที่เขาให้อิสระกับเราเพราะอยากให้ลูกๆ มีความสุขและได้คิดเป็น ซึ่งอันนี้มันเห็นผลมากเมื่อเราโตขึ้นมา แต่จริงๆ แจงก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองชอบและอยากเป็นนักธุรกิจเหมือนกับคุณพ่อคุณแม่มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว”
ส่วนหนึ่งอาจจะเห็นมาตลอดว่าคนใกล้ชิด คุณย่า คุณพ่อ คุณตา คุณแม่ ทำธุรกิจมาตลอด แต่ก็ถือว่าโชคดีที่เขาให้โอกาสได้เรียนรู้อะไรเองมากมายตั้งแต่เด็ก เพราะสุดท้ายสิ่งที่กำลังทำอยู่ คือ สิ่งที่ตัวเองชอบและมีความสุขกับมันที่สุดแล้ว
ชีวิตเราอิสระมากหลังจบปริญญาตรี พ่อและแม่ไม่ได้บังคับว่าจะต้องมาทำงานที่มาลีสามพราน หรือไปที่เครือเซ็นทรัลที่คุณแม่ทำงาน แต่เธอก็เลือกใช้โอกาสที่มีให้เป็นประโยชน์โดยขอทดลองงานกับทั้งสองที่ เพราะเห็นว่ามันเป็นทางลัดที่ทำให้เธอได้เรียนรู้ว่ากระบวนการทำงานทั้งสองธุรกิจเป็นอย่างไร ซึ่งถ้าเธอไปทำที่อื่นก็ไม่มีโอกาสได้ทดลองทำงานขนาดนี้
เมื่อเลือกทำงานที่มาลีสามพรานจริง สิ่งที่ได้เรียนรู้จากคุณพ่อ คือ อย่าปิดบังปัญหาว่ามันไม่มี มันไม่เกิด มันไม่ใช่ ต้องบอกจากสภาพความเป็นจริงว่าธุรกิจเป็นอย่างไร อะไรที่พลาดก็แก้ไขใหม่ได้ ช่วยกันฟื้นฟู พร้อมกับที่คุณแม่จะคอยบอกว่าเรื่องงานกับเรื่องครอบครัวต้องแยกกันให้ชัดเจน งานอยู่ที่ทำงาน และกลับบ้านคือครอบครัว
ขณะที่ทำงาน ฝ่ายของแจงกับคุณพ่อจะอยู่คนละชั้นกันเลย มีอะไรก็โทรสายภายในคุยกันปรึกษากัน บางทีก็ไม่ได้เจอหน้ากัน
ยอมรับว่า สนิทกับคุณพ่อคุณแม่มากขึ้นเมื่อโตและทำงานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนมาทำงานด้วยกัน ขณะที่ตอนเด็กดูเหมือนว่าจะไม่สนิทกับครอบครับเพราะอยู่คนละบ้าน บางทีเจอกัน 3 วันครั้ง เพราะคุณพ่อคุณแม่ทำงานหนักมาตลอด แต่ก็ไม่รู้สึกว่าขาด ก็เข้าใจว่าเขาก็รักเรา เราก็ดูทีวี เล่นของเราไป
สิ่งที่ลูกๆ ได้เรียนรู้จากคุณพ่อ คือ ความเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งนำมาสู่การใช้ชีวิตได้อย่างมีเหตุผลตลอดไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องการใช้ชีวิต อย่าเอาอารมณ์เป็นหลัก
จำได้ว่าคุณแม่เขาเป็นห่วงสุขภาพพ่อ พ่อไม่สบายแต่อดที่จะกินไอศกรีมซึ่งเป็นของโปรดไม่ได้ แม่ก็ดุพ่อ พ่อบอกว่าอย่าไปโกรธแม่ แต่ให้ดูเจตนาและความตั้งใจของเขาว่าที่เขาดุเราก็เพราะเขาเป็นห่วงสุขภาพ และพ่อก็นั่งกินไอศกรีมต่อ
หรืออย่างตอนแรกที่แจงมาทำงานที่มาลีสามพราน เครียดมาก เครียดจนผมของเรามีปัญหา คุณพ่อก็ไม่มีการปลอบอะไรเลยนะ มีแต่แนะนำแชมพูให้ว่าใช้นี่สิ แล้วผมเราจะดีขึ้น ซึ่งทำให้รู้ว่า จริงๆ เป็นการเตือนทางอ้อมว่าสุขภาพสำคัญ และปัญหาทุกอย่างมีทางออกและแก้ไขได้ ขณะที่คุณแม่จะเป็นฝ่ายสนับสนุนให้กับทุกคนได้ดี ทั้งคุณพ่อและลูกๆ ทุกคน
ครอบครัวนี้ตรงกับภาษิตว่าไว้ รักอย่างเดียวคงยังไม่เพียงพอ ต้องมีความเข้าใจกันและกันด้วย จึงจะทำให้ชีวิตมีความสุข ...


