สงบกายใจ ณ วัดพระศรีสรรเพชญ์ และคุ้มขุนแผน
ประมาณ 1 เดือน ผมจะเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัดหนึ่งครั้ง แต่ถ้าครั้งไหนรู้สึกอยากชิล
โดย...สืบสิน
ประมาณ 1 เดือน ผมจะเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัดหนึ่งครั้ง แต่ถ้าครั้งไหนรู้สึกอยากชิล อยากทำให้ใจที่วุ่นวายจากเมืองใหญ่ได้สงบลงบ้าง ก่อนเข้าบ้านผมจะแวะไปไหว้พระ ไม่ก็ไปเยี่ยมชมโบราณสถานอันมีคุณค่า เพื่อชำระล้างขยะทางใจ และมีพลังใจพร้อมจะกลับมาสู้งานใหม่แบบเต็มที่
เฉกเช่นวันนี้ผมได้แวะไปเยี่ยมชมโบราณสถานที่ผมเคยมาวิ่งเล่นและนั่งพักชมความงามอันตระการตาที่อดนึกในใจไม่ได้ว่า หากกรุงศรีอยุธยาไม่โดนพม่าเผาบ้านเผาเมืองกันไปเสียก่อน บ้านเมืองเราจะงดงามและยิ่งใหญ่สักเพียงใด คงไม่หลงเหลือเพียงซากปรักหักพังให้คนรุ่นหลังได้รู้สึกสะเทือนใจมากถึงเพียงนี้
วัดที่ผมมาเยือนวันนี้ก็คือวัดพระศรีสรรเพญช์ หรือสถานที่ที่มีองค์พระเจดีย์สามองค์ตั้งเด่นเป็นสง่า
วัดพระศรีสรรเพชญดาญาณ วัดประจำพระราชวัง
จากประวัติศาสตร์เล่าว่า เดิมทีวัดแห่งนี้สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือพระเจ้าอู่ทอง กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ใช้เป็นที่ประทับ ต่อมาสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงสร้างพระราชมณเฑียรขึ้นใหม่ทางตอนเหนือ แล้วจึงโปรดให้ยกเป็นเขตพุทธาวาส เพื่อประกอบพิธีสำคัญต่างๆ ของบ้านเมือง จึงเป็นวัดในเขตพระราชวังที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา แตกต่างกับวัดมหาธาตุสุโขทัย ที่มีพระสงฆ์จำพรรษา ทั้งวัดมหาธาตุ สุโขทัย วัดพระศรีสรรเพชญ์ อยุธยา และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ต่างก็ถูกสถาปนาขึ้นในมูลเหตุการสร้างวัดเดียวกันนั่นคือ “สร้างเพื่อเป็นวัดประจำพระราชวัง”
ต่อมาในปี 2035 รัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระสถูปเจดีย์องค์ตะวันออก เพื่อบรรจุพระอัฐิของพระราชบิดา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และพระสถูปเจดีย์องค์กลางเพื่อบรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 ผู้เป็นพระเชษฐา หลังจากนั้นในปี 2042 พระองค์โปรดให้สร้างพระวิหารหลวงขึ้น
ในปีต่อมา 2043 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงสร้างพระวิหาร ทรงหล่อพระพุทธรูป ยืนสูง 8 วา (ประมาณ 16 เมตร) หุ้มด้วยทองคำหนัก 286 ชั่ง (ประมาณ 171 กิโลกรัม) ประดิษฐานไว้ในวิหาร ถวายพระนามว่า พระศรีสรรเพชญดาญาณ ซึ่งภายหลังเมื่อเสียกรุง ปี 2310 พม่าได้เผาลอกทองคำไปหมด และองค์พระพังยับเยิน
ครั้นพ่อถึงสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญชิ้นส่วนชำรุดของพระประธานองค์นี้ลงมาประดิษฐานที่วัดพระเชตุพน และบรรจุชิ้นส่วนซึ่งบูรณะไม่ได้เหล่านั้นไว้ในเจดีย์องค์ใหญ่ที่สร้างขึ้นแล้วพระราชทานชื่อเจดีย์ว่า “เจดีย์สรรเพชญดาญาณ”
ส่วนเจดีย์องค์ที่ 3 ถัดมาจากด้านทิศตะวันตกเป็นเจดีย์บรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ซึ่งสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 (พระหน่อพุทธางกูร) พระราชโอรสได้โปรดให้สร้างขึ้นเจดีย์ทั้งสามองค์นี้เป็นเจดีย์แบบลังกา
ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรมพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง “พระที่นั่งจอมทอง ตั้งอยู่ใกล้ๆ กำแพงทางด้านติดกับวิหารพระมงคลบพิตร เพื่อให้เป็นสถานที่ให้พระสงฆ์บอกเล่าหนังสือพระสงฆ์
ระหว่างเจดีย์แต่ละองค์มีมณฑปก่อคั่นไว้ ซึ่งคงจะมีการสร้างในราวรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และมีร่องรอยการบูรณปฏิสังขรณ์หนึ่งครั้งในราวรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้มีการบูรณะเจดีย์แห่งนี้จนมีสภาพที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
ราวรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดหลวงแห่งนี้เป็นครั้งแรก ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยาโบราณราชธานินทร์ สมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่าได้ดำเนินการขุดสมบัติจากกรุภายในเจดีย์ พบพระพุทธรูป เครื่องทอง มากมาย และในสมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้มีการบูรณะวัดนี้จนมีสภาพที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
วัดพระศรีสรรเพชญ์จะตั้งอยู่ทางทิศเหนือของวิหารพระมงคลบพิตร และพระราชวังโบราณ เป็นวัดสำคัญที่สร้างอยู่ในพระราชวังหลวงของกรุงศรีอยุธยา เทียบได้กับวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) แห่งกรุงเทพมหานคร หรือวัดมหาธาตุแห่งกรุงสุโขทัยเลยทีเดียว
วัดนี้เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00-18.30 น. ค่าเข้าชม ชาวไทย 10 บาท ชาวต่างประเทศ 30 บาท สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานศิลปากรที่ 3 โทร. 035-242-501, 035-242-448
***หมายเหตุ ตั้งแต่เวลาประมาณ 19.30-21.00 น. จะมีการส่องไฟชมโบราณสถานได้อย่างงดงามตระการตา
คุ้มขุนแผน อนุสรณ์ของขุนแผน
บริเวณไม่ไกลกันนัก ผมยังมีสถานที่ที่ได้สงบใจอีกแห่งนั่นคือ “คุ้มขุนแผน”
คุ้มแห่งนี้เป็นเรือนไทยทรงโบราณของภาคกลาง ในรูปแบบเรือคหบดี มีอยู่ 5 หลัง อยู่กลางเกาะทางด้านใต้วิหารพระมงคลบพิตร หันหน้าสู่ถนนศรีสรรเพชญ์ และถนนป่าตอง ใน ต.ประตูชัย สร้างไว้เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้เห็นและศึกษารูปบ้านไทยในชนบทสมัยโบราณว่าก่อนนั้นจัดบ้านอย่างไร เช่น เรือนเอกเรือนโท หอพระ หอเครื่อง หอนั่ง ครัวไฟ ซึ่งนับวันรูปบ้านไทยโบราณแทบจะหมดไปกันเกือบหมดแล้ว
เดิมทีเป็นจวนสมุหเทศาภิบาล มณฑลกรุงเก่า พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนมรุพงศ์สิริพัฒน์ ทรงสร้างขึ้นปี 2437 ที่เกาะลอยบริเวณสะพานเกลือซึ่งอยู่ตรงข้ามกับที่ว่าการมณฑล
ต่อมาในราวปี 2483 ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสได้ย้ายจวนหลังนี้มาสร้างในบริเวณคุกนครบาลเก่าของพระนครศรีอยุธยา พร้อมทั้งสร้างเรือนไทยเพิ่มขึ้นอีกในปี 2499 และให้ชื่อเรือนไทยนี้ว่า คุ้มขุนแผน ซึ่งเชื่อกันว่าขุนแผนเคยต้องโทษอยู่ในคุกแห่งนี้ และตั้งให้เป็นอนุสรณ์แก่ขุนแผนนั่นเอง
การเดินทางมายังคุ้มขุนแผน หากมาจากกรุงเทพฯ เข้าตัวเมืองอยุธยาแล้ว ให้ข้ามสะพานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชตรงไปจนถึงศาลากลางจังหวัดหลังเดิม จะเห็นสามแยกแล้วเลี้ยวขวาตรงไปไม่ไกลนักจะเห็นคุ้มขุนแผนอยู่ทางซ้ายมือ ใกล้กับศูนย์แสดงช้างของ จ.พระนครศรีอยุธยา
คุ้มขุนแผนเปิดให้ชื่นชมกันทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น.
หากมีเวลาว่างก็ลองแวะไปชื่นชมโบราณสถาน และคุ้มขุนแผน เพื่อชำระล้างความหม่นทางใจ ก่อนจะกลับมาสู้งานหนักอีกครั้ง เพียงเท่านี้เราก็เติมพลังได้เหลือเฟือกันแล้วล่ะครับ


