ถอดเครื่องแบบ 'ผู้พันต๊อด'
ชายชาติทหารในชุดเขียวอ่อน ติดดาวบนบ่าสามดวงพร้อมช่อชฎา บ่งบอกยศได้ว่าเป็นนายทหารระดับสูง
โดย...กันติพิชญ์ ใจบุญ, ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์ ภาพ กฤษณ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร
ชายชาติทหารในชุดเขียวอ่อน ติดดาวบนบ่าสามดวงพร้อมช่อชฎา บ่งบอกยศได้ว่าเป็นนายทหารระดับสูงของกองบัญชาการกองทัพบก หรือ บก.ทบ. ที่คุ้นหูกัน
ชายชาติทหารยศระดับพันเอกที่เอ่ยถึง หากตามปกติก็มีเดินกันขวักไขว่อยู่แล้วภายใน บก.ทบ. แต่ชายชาติทหารนายนี้ถือเป็นคนที่สังคมกำลังจับตามองในฐานะที่เขาเป็นกระบอกเสียงของ บก.ทบ. ด้วยตำแหน่ง รองโฆษก แจกแจงข่าวสาร ตอบโต้ ชี้แจงออกไปยังสังคม และยิ่งบทบาทในสถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ ชายชาติทหารผู้นี้ยิ่งต้องรับบทหนักมากยิ่งขึ้น
พ.อ.วินธัย สุวารี คือชายชาติทหารที่เรากำลังพูดถึง
เขาโดดเด่นขึ้นมาด้วยภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากกองทัพ ให้เป็นคนออกหน้าชี้แจงข่าวคราวของทหารไปยังสังคม และยิ่งเด่นขึ้นมาอีกด้วยรูปลักษณ์หน้าตาที่หล่อเหลาถึงระดับนักแสดงหนัง บวกกับความองอาจสมาร์ทตามแบบฉบับของทหารไทย
แต่ตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นอย่างไร มีดีเหมือนหน้าตาหรือไม่ บวกกับบทบาทหน้าที่รองโฆษกของ บก.ทบ. ทำให้เขาหนักใจมากขึ้นหรือเปล่า จากเดิมที่เป็นนักรบรักษาผืนแผ่นดิน วันนี้ต้องมานั่งหน้ากล้อง ใช้คำพูดและเนื้อหาเป็นอาวุธกระบอกเสียง
@weekly ขอเปิดอกชายชาติทหารผู้นี้
“อาชีพของผมมีวัตถุประสงค์ชัดเจน คือ เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน เป็นอาชีพที่แตกต่างจากคนอื่นในสังคมด้วยกัน เพราะเป้าหมายที่ว่าเป็นของทหาร” พ.อ.วินธัย เปิดฉากพูดคุยพร้อมรอยยิ้ม แต่ทว่าเป็นยิ้มที่หนักแน่นเอาการ
ด้วยหน้าที่ของทหารอาชีพที่แน่นคลั่กอยู่ในสายเลือด พ.อ.วินธัย เปิดปูมหลังของตัวเอง ทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนถึงเส้นทางการเดินบนสายอาชีพนี้ พ.อ.วินธัย จบนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 30 และต่อเนื่องยังนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า หรือนักเรียน จปร. ที่คุ้นหูกันในรุ่น 41 เติบโตในสายงาน “รบ” เป็นหลัก โดยตำแหน่งหน้าที่สุดท้ายก่อนมาเป็นรองโฆษก พ.อ.วินธัย สังกัดอยู่ ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน (ปตอ.)
พ.อ.วินธัย มองว่า ทุกหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบให้ทำงานถือว่าพลาดไม่ได้ และหากจะพลาดก็ต้องให้น้อยมากที่สุด เฉกเช่นหน้าที่กระบอกเสียงของกองทัพบกก็เช่นกัน นับเป็นหน้าที่หนึ่งที่ได้เข้ามาทำงานตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา และคำสั่งของผู้บังคับบัญชาก็ถือว่าสำคัญ เพราะสะท้อนไปถึงวินัยที่เป็นเรื่องหลักของวิชาชีพทหาร
“ผมเองก็เป็นเหมือนกระบอกเสียงองค์กร ได้รับนโยบายจากผู้บังคับบัญชา ไม่ได้ทำจากความรู้สึกส่วนตัว แล้วทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผู้บังคับบัญชาให้ตลอด ปัจจุบันความคิดของคนค่อนข้างหลากหลาย ทางผู้บังคับบัญชาเห็นว่าถึงจุดหนึ่งที่ความคิดในสังคมเกิดความแตกแยก ทหารต้องเอาคนทั้งประเทศ ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ต้องทำเพื่อส่วนรวมไม่ใช่เพียงเพื่อกลุ่มก้อน เพื่อทำให้ภาพรวมของการแก้ปัญหาออกมาดีที่สุด แน่นอนว่าอาจจะมีบ้างบางส่วนยังไม่เข้าใจ แต่เราไม่ได้ไปมีปฏิกิริยาตอบโต้กลับไป ต้องพยายามเข้าใจทุกคน และทำเพื่อทุกคนจริงๆ”
พ.อ.หนุ่มในวัย 44 ปี บอกเล่าอีกว่า การทำงานในหน้าที่รองโฆษกขององค์กร ก็ต้องมีทีมงานคัดกรองข่าวสารทุกช่องทาง หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ แม้แต่ข่าวลือซุบซิบผ่านทางโลกออนไลน์ก็ต้องเช็กต้องกรองกัน เพื่อสรุปยอดประมวลผลทุกอย่าง หากมีเรื่องที่กระทบมายังกองทัพก็ต้องออกมาชี้แจง และสิ่งที่กองทัพจะเสนอออกไปแล้ว ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เปิดเผยได้ เพราะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา แต่ก็มีหลายครั้งที่คนไปตีความผิดแผกไปจากที่กองทัพเสนอ ก็ไม่หนักใจ เพียงแต่เราไปโทษเขาไม่ได้ เราต้องเพิ่มการสร้างความเข้าใจให้ได้ ดูให้ออกว่าสังคมไม่เข้าใจตรงไหน หากไม่เข้าใจแสดงว่าเรายังชี้แจงไม่ดีพอ ก็ต้องเสริมตรงนั้น ขยันอธิบายให้มากขึ้น เพราะมันคือหน้าที่ของเรา ส่วนตัวไม่คิดว่าการไม่เข้าใจของใครก็ตามจะเป็นเรื่องผิด แต่มองว่าตัวเองยังอธิบายไม่ได้ดีพอ
“ทุกข่าวทุกสารที่เข้ามาเราก็กรองเอง มีทีม เพราะการทำงานทีมคือหัวใจหลักเพื่อให้เป้าหมายบรรลุวัตถุประสงค์ แต่ก็มีบางครั้งที่ผู้บังคับบัญชามาติดตามด้วย มาบอกเล่าข่าวสาร ถึงตรงนี้ก็สนุกดีกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา และตั้งใจทำไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ไหน เพราะอย่างที่บอกไว้คำสั่งย่อมมาพร้อมกับหน้าที่ และยิ่งเป็นคำว่าทหารด้วยแล้ว ต้องทำหน้าที่ให้สำเร็จ” รองโฆษก บก.ทบ. ย้ำ
จากที่คุ้นชินกับยุทธศาสตร์ด้านการทหาร การวางแผนการรบ มาวันนี้ พ.อ.วินธัย หรืออีกชื่อที่คุ้นกันคือ “ผู้พันต๊อด” เสนาธิการทหารบกอีกคนหนึ่งของกองทัพไทย ต้องมาเปิดไมโครโฟนถ่ายทอดข่าวสาร ชีวิตการทำงานทหารอาชีพที่ผ่านมา ย่อมมีความแตกต่างออกไป
“เมื่อก่อนผมไม่เคยสนใจข่าวสารอะไรเท่าไรเลยนะ คือดูบ้างแต่ก็ไม่มาก” พ.อ.วินธัย พูดพร้อมเสียงหัวเราะ กระนั้นหน้าที่งานตรงนี้ทำให้เขาต้องดู (ข่าว) เยอะ ดูให้ออก และดูให้เป็น กับกรณีที่ว่าหน้าที่กระบอกเสียงต้องเป็นด่านแรกที่ต้องเผชิญแรงกดดันต่างๆ จากกลุ่มต่างความคิดที่ไม่เห็นด้วย พ.อ.วินธัย บอกไม่หนักใจ เพราะบทบาทของกองทัพบกค่อนข้างชัดเจน
“ไม่หนักใจนะ ตั้งแต่เริ่มต้นมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และทหารทั้งกองทัพก็ประกาศชัดเจนในเรื่องจุดยืนและบทบาทของกองทัพแต่แรกอยู่แล้ว คือต้องอยู่ในจุดที่เหมาะสม ไม่ให้ใครมามองได้ว่าเลือกปฏิบัติ ใครทำผิดก็ว่ากันไปตามผิด หรือให้ความรู้สึกร่วมกับใครมากน้อยไปกว่ากัน
เราเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคง หน้าที่ก็ชัดเจนอยู่แล้ว เรื่องคดีความทางการเมืองที่เกิดขึ้นก็ต้องปล่อยให้ตำรวจดำเนินการตามหน้าที่ แต่ถ้าเป็นเรื่องด้านความมั่นคง เรื่องสถาบัน หรือพูดถึงเรื่องความแตกแยกแบ่งแยกอันนี้แน่นอนว่าทหารยอมไม่ได้ กระนั้นก็มีไปตีความต่างๆ ว่าทหารเลือกปฏิบัติ ซึ่งมันไม่ใช่ ใครทำผิดก็ต้องดำเนินการเอาผิดตามกฎของสังคม” พ.อ.วินธัย ร่ายยาว
พ.อ.วินธัย ในฐานะกระบอกเสียงของกองทัพบก ย้ำจุดยืนเดิมอีกครั้งว่า ทหารเลือกประชาชนทั้งประเทศ ไม่ต้องมากำหนดให้ทหารต้องเลือกข้างใคร เพราะทหารมีหน้าที่ชัดเจนในอาชีพนี้ คือ ต้องให้ประชาชนปลอดภัยและบ้านเมืองต้องสงบสุขในทุกสภาวะ
ห้วงแห่งความแตกแยกตามความเห็นต่างของแต่ละกลุ่ม รวมถึงประชาชนที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ในฐานะทหารอาชีพอย่าง พ.อ.วินธัย มองเรื่องนี้อย่างน่าสนใจและค่อนข้างเป็นกังวล ผู้พันต๊อด ย้ำว่า ในอนาคตหากทั้งสังคมไม่ช่วยกันแก้ไขปัญหาความขัดแย้งจะยิ่งทำให้ความแตกแยกหนักขึ้นและรุนแรงมากกว่านี้ ซึ่งหากถึงขนาดนั้นจะถือว่าอันตราย เพราะบางคนมีความเชื่อที่แต่ละฝ่ายหยิบยื่นเข้ามาให้จนละเลยที่จะคิดให้อยู่ในกรอบตามความจริง การรับข่าวสารก็เช่นกัน ทุกวันนี้มีแต่การให้ร้าย ทำให้คนเชื่อในแบบนั้นอย่างเดียว ไม่ได้มองในข้อเท็จจริง มันค่อนข้างจะอันตราย
“ที่ผมทำงานอยู่ในขณะนี้ก็พอเห็นภาพได้ชัดเจน เพราะเราต้องดูงานด้านสื่อทั้งหมด ข่าวแต่ละฝ่ายที่ออกไปส่วนใหญ่ก็ดูเหมือนจะเป็นการคาดเดาเกือบทั้งหมด และการคาดเดาดังกล่าวก็ถูกถ่ายทอดไปยังประชาชน กลายเป็นการสร้างความเชื่อที่ผิดๆ เมื่อปักใจเชื่อในสิ่งที่ไม่อยู่บนฐานความจริง ความรุนแรงก็จะต้องตามมา ดังนั้นทุกคนต้องใช้สติ ใช้วิจารณญาณให้ดี ให้หลักของเหตุและผลมาตัดสินข้อมูลที่รับเข้ามา อย่าไปเชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง เท่านั้นก็จะทำให้เราเห็นภาพได้มากยิ่งขึ้น และความแตกแยกถึงขั้นรุนแรงก็จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน” พ.อ.วินธัย ย้ำ
ทั้งหมดคือสิ่งที่อยู่ในหัวใจของชายชาติทหารที่คำนึงถึงหน้าที่และประชาชนทั้งประเทศเป็นหลักเฉกเช่นทหารทั่วไป อย่างที่เขากล่าวไว้ในข้างต้นและยึดถือตลอดระยะเวลาอาชีพราชการทหารที่เขาเป็นอยู่และปฏิบัติ คือ “เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน” สิ่งนี้จะอยู่ในหัวใจและสะท้อนไปถึงหน้าที่ของเขาทุกช่วงเวลาที่หายใจของ พ.อ.วินธัย สุวารี
ทหารดารา สมาร์ทแมน แฮนด์ซัม
การทำงานตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาและการปฏิบัติตัวให้สมกับทหารอาชีพของ พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ถือว่าแทบจะไม่มีข้อบกพร่อง แต่ในเรื่องชีวิตส่วนตัวที่หลายคนกำลังสงสัย และเจ้าตัวก็ไม่ค่อยจะเปิดเผยและเอ่ยถึงมากนัก อย่างดีที่สุดที่สามารถล้วงลึกนายทหารผู้นี้ได้ก็เพียงแค่เจ้าตัวชื่นชอบกีฬาทางน้ำ ออกกำลังกายจนทำให้ตัวเขาดูสมาร์ทแมน มีบุคลิกภาพที่ดี ก็เพียงเท่านั้น
แต่ข่าวซุบซิบตามหน้าบันเทิงต่างๆ ที่นายหทารผู้นี้กำลังคบหากับดาราสาวรุ่นใหญ่อย่าง “แก้วอภิรดี ภวภูตานนท์” ที่หลายคนเชื่อว่าทั้งคู่พบรักกันและคบหาดูใจจากการเล่นภาพยนตร์ร่วมกันคือเรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทำให้อดที่จะถามถึงเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะทั้งสองคนก็ถือว่าเป็นคนของประชาชนเช่นกัน
“ผมไม่ค่อยจะพูดถึงเรื่องชีวิตครอบครัวสักเท่าไหร่ ผมบอกได้แต่เพียงว่าการดำเนินชีวิตของผมที่เติบโตขึ้นมามันไม่เหมือนกับบุคคลทั่วไป รวมถึงการใช้ชีวิตด้วย ผมอาจจะไม่ได้อยู่ในกรอบมากนักสำหรับชีวิตครอบครัว ด้วยข้อจำกัดบางอย่างของตัวเอง ผมรักอิสระของชีวิต” พ.อ.วินธัย เปิดฉากเล่าถึงตัวตน
แต่ในชีวิตราชการทหารของ พ.อ.วินธัย เอง เจ้าตัวยอมรับว่าอยู่ในระดับที่พอใจ และผู้บังคับบัญชาก็พอใจการทำหน้าที่ของตัวเอง เรียกว่าทำทุกอย่าง ทนได้ทุกรูปแบบสำหรับหน้าที่การงาน บกพร่องก็มีบ้าง แต่น้อยนิดเท่านั้น แต่แปลกที่พอไปใช้ชีวิตครอบครัวกลับทำไม่ได้เหมือนกับหน้าที่การงาน
“ตัวผมเองมีความเป็นอิสระสูง ยามว่างจากงานก็จะไปเล่นเจ็ตสกี ออกกำลังกาย อยู่กับเพื่อนฝูง แน่นอนว่าวัยขนาดนี้ต้องมีคนที่คบหาพูดคุยด้วยอยู่แล้ว แต่สำหรับงานผมทุ่มเทเต็มที่ ทุกเวลาเพื่องานเพื่อหน้าที่ก็ว่าได้ แต่หลายคนอาจจะแบ่งเวลาให้ทั้งสองส่วนได้เท่าๆ กัน แต่ผมกลับทำไม่ได้ ส่วนคนที่คบหาด้วยก็ต้องทำความเข้าใจในตัวตนของเราเช่นกัน
นายทหารคนอื่นๆ อาจจะสมบูรณ์แบบไม่เหมือนกับตัวเราเอง ครอบครัวและหน้าที่การงานไปด้วยกันได้ดี แต่สำหรับผมเองงานหลวงผมเต็มที่ แต่งานราษฎร์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เรียกว่าคะแนนน้อยแล้วกัน” พ.อ.วินธัย ย้ำ
อีกบทบาทที่ พ.อ.วินธัย ได้เข้าไปทำงาน คือการแสดงภาพยนตร์เรื่อง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ที่รับเล่นมาถึงขณะนี้ก็เข้าสู่ภาคที่ 5 แล้ว เตรียมเข้าโรงฉายให้ประชาชนทั่วประเทศและต่างชาติได้รับชมกันเร็วๆ นี้
พ.อ.วินธัย เล่าถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจของคนทั้งประเทศ และ พ.อ.วินธัย ก็เป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้เช่นกัน โดยรับบทเป็นถึงสมเด็จพระเอกาทศรถ หรือพระนามเดิมว่า พระองค์ขาว เป็นพระอนุชาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
“ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล (ท่านมุ้ย) เป็นผู้กำกับหนังเรื่องนี้ ที่อยากได้ทหารเข้ามาเล่นด้วยเพราะกษัตริย์สมัยก่อนก็คือทหารที่ต้องปกป้องผืนแผ่นดิน การที่ได้ทหารมาร่วมเล่นจึงทำให้สมบทบาทมากขึ้น กอปรกับหนังเรื่องนี้กองทัพบกเป็นเจ้าภาพร่วมผลิตด้วย ดังนั้นจึงมีโอกาสได้เข้าร่วมแสดง
เรื่องแอ็กชั่นผมไม่ได้กังวล เพราะการขี่ม้าให้สมจริง การใช้อาวุธอย่างดาบ หรือยิงธนู และการแสดงที่ต้องใช้ความทรหดเข้าไปผสมด้วย ทหารไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ช่วงแรกๆ จะมีเรื่องการใช้ภาษา ซึ่งเป็นศัพท์โบราณทั้งหมด เราก็ไม่คุ้นเคย ต้องมาปรับมาจูนกัน อย่างเรื่องเทกนี่ไม่ต้องพูดถึง มีบ่อยมาก” พ.อ.วินธัย เล่าพร้อมเสียงหัวเราะ
รองโฆษกกองทัพบก ขยายความต่อว่า ต้องฝึกฝนทุกอย่างเพื่อให้คนดูเชื่อให้ได้และเข้าถึงบทบาทของตัวละครนั้นๆ อย่างการขี่ม้า มันไม่ใช่แค่ขี่เดิน หรือวิ่ง แต่ต้องทำให้ม้าเป็นส่วนหนึ่งของเรา และเรากำลังบังคับม้าไปสู่สมรภูมิสงคราม ต้องให้สมจริง แต่ก็ไม่มีปัญหา เพราะทหารมีความคุ้นชินอยู่แล้ว
“ก็สนุกดี ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ในวงการบันเทิงทั้งเรื่องการพบปะผู้คน ได้รู้จักคนมากยิ่งขึ้น และเรียนรู้ระบบการถ่ายทำภาพยนตร์ ซึ่งเราเป็นทหารอาชีพก็ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน มาเล่นหนังก็ได้รู้ได้สัมผัส ก็เป็นประสบการณ์ที่เราหาไม่ได้ แต่จากนั้นก็มีคนเริ่มรู้จักเรามากขึ้น เพราะเขาก็ไม่เคยพบเห็นว่ามีทหารไปเล่นหนังด้วย นอกนั้นก็มีงานในวงการบันเทิงติดต่อเข้ามาบ้าง แต่ผมไม่รับเลย เพราะไม่มีเวลาไปรับงานอื่นได้นอกเหนือจากงานกองทัพบก” ผู้พันต๊อดทิ้งท้าย


