พระสงฆ์ควรพูดเรื่องโลกหรือไม่!!
ได้อ่านข่าวเห็นพระภิกษุออกมาพูดจา และมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับทางการเมือง
โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส
ปุจฉา
ได้อ่านข่าวเห็นพระภิกษุออกมาพูดจา และมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับทางการเมือง หรือมีการเทศนาในเรื่องการเมืองใคร่อยากจะเรียนถามว่าเป็นกิจของสงฆ์หรือไม่...ท่านพระอาจารย์มองปัญหาดังกล่าวอย่างไร!?
วิสัชนา
ขอเจริญพรสาธุชนผู้มีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา เทศกาลสงกรานต์เพิ่งผ่านพ้นไป ชาวไทยส่วนใหญ่ได้กลับไปสู่ตระกูล เพื่อร่วมทำบุญกุศลเนื่องในเทศกาลปีใหม่ไทย สืบสานประเพณีวิถีพุทธ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ เพื่อขอขมาลาโทษหากเคยล่วงเกิน และเพื่อขอพร อันหมายถึง คำสั่งสอน ที่จะได้นำไปใช้ในการดำเนินชีวิต เป็นกำลังใจในการต่อสู้ต่อไป เพื่อขจัดอุปสรรคปัญหาทั้งปวงที่ชีวิตต้องเผชิญ
การได้รับคำแนะนำสั่งสอน...การได้รับพรอันประเสริฐ...การได้รับกำลังใจที่เป็นเลิศ เป็นยอดปรารถนาของสัตว์เราทั้งหลาย ซึ่งจะต้องเปิดใจให้กว้างต่อการน้อมรับคำสั่งสอน อันมีคุณประโยชน์ไม่ว่าจะในเชิงดุด่าว่ากล่าวตักเตือน หรือคำชมเชยสรรเสริญเยินยอ โดยให้มองลงไปในรายละเอียดแห่งคำพูดดังกล่าวว่ามีคุณประโยชน์หรือไม่เป็นสำคัญ...ไม่ใช่อยู่ที่คำชมหรือคำกล่าวติเตียน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นคำชมหรือคำติเตียน หากผู้กล่าวมีเจตนาดีในคำพูดเหล่านั้น มักจะมีคำแนะนำตักเตือนแฝงอยู่ อันให้ผู้รับตั้งตนดำรงชีวิตอยู่ในความไม่ประมาท
ในพระพุทธศาสนา การพูดจาว่ากล่าวจึงถูกกำกับโดยศีล ที่ห้ามพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ กล่าวคำเหลวไหลไร้สาระ ซึ่งหากเป็นพระภิกษุก็ต้องลงลึกไปในความเป็นสัมมาวาจา หรือวจีสุจริต หมายถึง งดเว้นการพูดทุจริตโดยเจตนา และจะต้องศึกษาลงไปในพุทธปฏิปทาว่าเป็นอย่างไร อันพระภิกษุสงฆ์ควรถวายความเคารพด้วยการดำเนินตาม ดังที่ทรงมีพุทธดำรัสว่า... ตถาคตกล่าวคำจริง มีประโยชน์ แม้บางครั้งไม่ไพเราะอ่อนหวาน จะพึงรู้กาลอันควรกล่าว และจะกล่าวคำจริง มีประโยชน์ ไพเราะอ่อนหวานสมานมิตรโดยปกติ ส่วนคำกล่าวที่จริง แต่ไม่มีประโยชน์ จะไม่กล่าวเลย จึงไม่ต้องกล่าวถึง การกล่าวคำไม่จริง...
ที่สำคัญในพระพุทธศาสนาให้รู้จักความควรพูด กาลควรกล่าว อันเป็นไปเพื่อประโยชน์โดยธรรมเป็นสำคัญ เช่น จะต้องพูดเพื่อสนับสนุนความมักน้อย ความสันโดษ ความปลีกหลีกเร้น ความไม่คลุกคลี ความเพียรอันยิ่ง การพูดในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และญาณทัศนวิมุตติ และจะต้องพูดด้วยความเมตตากรุณา การพูดใดๆ ของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา จึงไม่ส่งเสริมไปทางการมุ่งสู่โลกธรรม จึงไม่พูดกล่าวใดๆ ที่นำไปสู่การให้คุณชี้โทษแบบโลกๆ ซึ่งในทางตรงข้ามจะต้องพูดด้วยคำมงคล ที่นำไปสู่การให้สติปัญญา บำรุงขวัญกำลังใจให้หมู่ชนเกิดความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เพื่อชักชวนกันประกอบการกุศลกรรมยิ่งขึ้น... คำว่า คำมงคล นั้น หมายถึง ลักษณะคำดุด่า หรือคำสรรเสริญก็ได้ทั้งสองประการ นัยสำคัญอยู่ที่เจตนา
ดังนั้น หากคำกล่าวนั้นมุ่งไปสู่ประโยชน์โดยธรรม เพื่อประโยชน์ของมหาชน... เพื่อสนับสนุนให้รู้รักสามัคคีในหมู่ชน ก็คงไม่แปลกที่พระภิกษุจะพูด แม้จะเป็นเรื่องสังคม การเมือง แต่จะต้องพูดอย่างมีหลักธรรมชี้ชัด แสดงให้เห็นอย่างแจ่มแจ้ง ไม่คลุมเครือว่าต้องเป็นไปเพื่อความยุติธรรม... จึงหมายถึง ผู้พูดโดยเฉพาะ พระภิกษุ จะต้องมีพรหมวิหารธรรมรักษาจิต อบรมภาวนาด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อยู่ตลอดเวลา เรียกว่า มีกรรมฐานบริหารจิตด้วยพรหมวิหารธรรม... จนเกิดคุณธรรมประเสริฐรักษาจิตให้มีสติปัญญา ละวางอคติธรรมได้สิ้น
การพูดกล่าวใดๆ ที่มีจิตใจสงบเยือกเย็นเปี่ยมล้นด้วยพรหมวิหารธรรม จึงไม่เป็นโทษภัยกับผู้ใด เพราะผู้กล่าวจะรู้ความควรรู้กาลควร ที่มุ่งสู่ประโยชน์โดยธรรม จะไม่กล่าวด้วยความลำเอียง (อคติธรรม) จากธรรม จนเสียความยุติธรรม ด้วยอำนาจฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ และภยาคติ ซึ่งเป็นวิสัยของปุถุชน หมายถึง คนหยาบ...คนหนา!!
ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่หลักธรรมตามที่กล่าวมา ซึ่งจะเป็นคำตอบได้ว่า พระภิกษุควรพูดอย่างไร ในความเกี่ยวเนื่องกับเรื่องโลกๆ ไม่ว่าจะเป็นสังคม การเมือง เศรษฐกิจ จะควรพูดหรือไม่ควรพูด จะควรเกี่ยวข้องอย่างไรที่ไม่เสียต่อสมณสารูป ก็อยู่ตรงหลักธรรมตามที่กล่าวมาเป็นข้อพิจารณา ซึ่งสาธุชนควรทำความเข้าใจในเจตนา และเนื้อหาสาระที่พูดเป็นสำคัญ อย่าเพิ่งด่วนชี้โทษ หรือชื่นชมยินดี เดี๋ยวจะลงนรกตามไปด้วย ไม่ได้ประโยชน์อะไร... พึงรู้จักวินิจฉัยโดยคำนึงถึงเจตนาเป็นหลัก... เจตนานี่แหละ คือ ตัวศีล... ศีล คือ เจตนา และเจตนา คือ ตัวบ่งชี้ถึงกรรม
เมื่อเข้าใจสมณธรรม ในเรื่องการพูดจาแล้วก็ย่อมจะเข้าใจถึงสมณสารูป อันรวมถึง สมณวิสัย หรือพฤติกรรมของพระภิกษุอันควรดำเนินตามอริยวินัย ตรงนี้แหละเป็นตัวชี้เป็นชี้ตาย ความเป็นสมณะหรือไม่... ซึ่งจะต้องศึกษาในสิกขาบท ๒๒๗ สิกขาบท ในปาฏิโมกขสังวรศีล รวมถึงอินทรียสังวรศีล อาชีวปาริสุทธิศีล และปัจจัยสันนิสิตศีล โดยเฉพาะอาชีวปาริสุทธิศีล จะเป็นตัวแสดงอาชีพของพระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ ที่จะไม่ประกอบอาชีพด้วยเดรัจฉานวิชา ได้แก่ ศิลปวิทยานอกพระพุทธศาสนาชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ซึ่งมีรวบรวมไว้ถึง ๑๕๓ ชนิด ที่แสดงเดียรัจฉานวิชา หนึ่งในนั้นคือการรับจ้างพูด หรือพูดเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางโลกธรรม หรือการพูดโดยมีเจตนาโอ้อวด... ซึ่งนั่นไม่ใช่พระภิกษุในอริยวินัยนี้อย่างแน่นอน...
เจริญพร


