พี่น้องคู่คิดสานต่ออาณาจักร ‘เพลินใจกรุ๊ป’
หนึ่งในผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ท้องถิ่น จ.ระยอง ที่พัฒนาโครงการบ้านจัดสรรภายใต้แบรนด์ “หมู่บ้านเพลินใจ”
โดย...สุกัญญา สินถิรศักดิ์
หนึ่งในผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ท้องถิ่น จ.ระยอง ที่พัฒนาโครงการบ้านจัดสรรภายใต้แบรนด์ “หมู่บ้านเพลินใจ” มายาวนานกว่า 25 ปี ถึงวันนี้จากรุ่นพ่อที่ส่งไม้ต่อถึงรุ่นลูก ซึ่งก้าวเข้ามารับช่วงต่อในยุคที่การแข่งขันในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทวีความรุนแรงขึ้นและมีผู้ประกอบการทุนหนาจากส่วนกลางเข้าไปปักธงร่วมแข่งขันด้วย
ณัฏฐนันท์ คุณาจิระกุล หรือสุกี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พี.เจ. คอนโดเทล (ระยอง) พี่สาวคนโต และ นัทธพงศ์ คุณาจิระกุล หรือเหน่ง รองประธาน บริษัท พี.เจ. คอนโดเทล (ระยอง) น้องชายคนเล็กของครอบครัว “คุณาจิระกุล” ผู้พัฒนาโครงการหมู่บ้านจัดสรรเพลินใจ ที่เข้ามาสานต่อกิจการครอบครัว และปรับแนวคิดจากรุ่นพ่อที่มีแผนจะพัฒนาที่ดินกว่า 10 ไร่ บริเวณถนนเลี่ยงเมืองสาย 3 จ.ระยอง เชื่อมระหว่างถนนสุขุมวิทและถนนมอเตอร์เวย์ เป็นตลาดสด ให้กลายเป็นคอมมูนิตี้มอลล์แห่งแรกของระยอง ภายใต้ชื่อ “ดิ โอโซน ไลฟ์สไตล์ มอลล์” เพื่อสร้างรายได้ระยะยาวให้กับครอบครัว และให้สอดรับกับพฤติกรรมของชาวระยองรุ่นใหม่
จากใจพี่ถึงน้อง
ปล่อยให้เขาลุยงานเต็มที่
ณัฏฐนันท์ หรือสุกี้ พี่สาว กล่าวว่า ในการเข้ามาสานต่อธุรกิจครอบครัวทั้งด้านที่อยู่อาศัยและธุรกิจค้าปลีก เพื่อผลักดันให้กลุ่ม พี.เจ. คอนโดเทล เติบโตต่อเนื่องและแข็งแกร่งขึ้นจนพร้อมที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต ก็ต้องอาศัยการทำงานที่เป็นไปในแนวทางเดียวกันระหว่างพี่น้อง
“ในฐานะที่เป็นพี่ ทำงานร่วมกับน้องชาย ก็ใช้วิธีแบ่งงาน แบ่งหน้าที่ให้ชัดเจน โดยตัวเองดูทั้งภาพรวมของบริษัทและเจาะลึกในธุรกิจที่อยู่อาศัย ส่วนน้องชาย มอบหมายให้เขาดูแลธุรกิจค้าปลีกตั้งแต่เริ่มต้นเลย ให้เขาทำตั้งแต่เริ่มวางแนวคิดโครงการ ออกแบบ ดูแลการก่อสร้าง เพื่อให้เขารู้สึกถึงความเป็นเจ้าของตั้งแต่แรกเริ่ม จนถึงปัจจุบันเริ่มเปิดให้บริการแล้ว ก็ปล่อยให้เขาลุยเองเลย เราช่วยดูแค่การเงิน”
ธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ ดิ โอโซน ถือเป็นงานที่เหมาะกับลักษณะนิสัยของน้องชายมาก โดยคนภายนอกอาจมองว่าเขาดูเงียบๆ นิ่งๆ แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นคนไม่นิ่งเลย เป็นคนสนุก เป็นคนตื่นตัวตลอดเวลา และเป็นคนที่ชอบอะไรที่ไม่ธรรมดา ซึ่งการทำคอมมูนิตี้มอลล์ ต้องมีกิจกรรมพิเศษทุกเดือน ต้องมีอะไรใหม่ๆ เปลี่ยนแปลงตลอด ห้ามหยุด ตรงกับนิสัยของเขาเลย เหมือนดึงความเป็นเขาออกมาเพื่อผลักดันธุรกิจใหม่ของครอบครัว
สุกี้ เล่าว่า ทีมบริหารธุรกิจค้าปลีกของเขาก็จะเป็นคนรุ่นใหม่ มีไอเดียใหม่ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับธุรกิจค้าปลีก ส่วนเราเป็นทีมผู้ใหญ่ คอยดูแลเรื่องการเงิน เช่น กิจกรรมนี้ใช้งบเท่านี้ ไม่ควรเกินเท่านี้ เพื่อให้ธุรกิจนี้รักษาตัวเองอยู่รอดได้ ไม่ต้องไปกวนธุรกิจอื่น
การทำงานร่วมกันก็ต้องผลัดกันยอม ขอให้อีกคนมีเหตุผลเหนือกว่า ซึ่งจริงๆ แล้วเขาค่อนข้างยอมพี่สาว เพราะเขาเป็นคนที่ใจเย็นมาก ใจเย็นจนบางทีอาจจะไม่ทันใจเรา เราก็ต้องเข้าไปสะกิด ซึ่งเขาจะบอกเสมอว่าวิธีการทำงานของเราต่างกัน แยกกันทำงานแบบนี้ดีแล้ว แต่ยังช่วยส่งเสริมกัน ทำให้สามารถทำงานร่วมกันได้
ในอนาคตก็เชื่อว่ากลยุทธ์การแยกกันบริหารเป็นเรื่องที่ดี เราก็เชี่ยวชาญเรื่องที่อยู่อาศัยไปเลย ส่วนน้องชายก็ให้เก่งเรื่องคอมมูนิตี้มอลล์ไปเลย และหากมีโครงการที่ต้องทำร่วมกัน เช่น โครงการคอนโดมิเนียมในบริเวณใกล้คอมมูนิตี้มอลล์ ก็สามารถดึงความเชี่ยวชาญของทั้งคู่มาทำให้คอนโดมิเนียมของกลุ่มเพลินใจแตกต่างจากคู่แข่งได้
รวมถึงการคิดโปรโมชั่นร่วมกันระหว่างธุรกิจที่อยู่อาศัยกับคอมมูนิตี้มอลล์ค้าปลีก การให้สิทธิพิเศษกับลูกบ้านเพลินใจกว่า 1,000 หลังคาเรือน ก็เป็นสิ่งที่ต้องหารือกัน ทำงานร่วมกัน ซึ่งท้ายที่สุดการร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาสองธุรกิจก็จะผลักดันให้ธุรกิจของครอบครัวคุณาจิระกุลเติบโตอย่างแข็งแรงได้
จากใจน้องถึงพี่
ความต่างทำให้งานสมดุล
นัทธพงศ์ หรือเหน่ง น้องชาย กล่าวว่า พี่กับน้องนิสัยไม่เหมือนกันเลย พี่สุกี้จะใจร้อนเหมือนคุณพ่อ ผมจะใจเย็นเหมือนคุณแม่ แต่ถึงพี่สุกี้จะดูใจร้อนกว่าเรา แต่ก็เป็นคนที่ละเอียดในการทำงานมาก ให้ความสำคัญกับทุกรายละเอียด แม้แต่จุดเล็กๆ น้อยๆ ทำอะไรที่ต้องมีแบบแผน มีหลักการ มีข้อมูลยืนยัน
“แตกต่างจากผม ที่เน้นลุย เข้าถึงง่าย เข้าถึงลูกค้า เข้าถึงลูกน้องในระดับปฏิบัติการ ทำให้ได้ข้อมูลเยอะ เพราะลูกน้องเปิดใจคุยกับเรา ในบางเรื่องเราก็ต้องนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาองค์กรไปบอกพี่สาว เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยน ซึ่งเขาก็เป็นคนมีเหตุผล รับฟัง และหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกัน ซึ่งในความต่างระหว่างเราพี่น้อง ทำให้เกิดสมดุลในการทำงานร่วมกันมาก นั่นคือ มีคนที่อ่อนในการรับฟังลูกน้อง แต่ก็ต้องมีคนที่เด็ดขาดในการบริหารงาน”
สำหรับการทำงานในฐานะพี่น้องที่เข้ามาสานต่อกิจการครอบครัว ต้องพึ่งพากัน ต้องตัดสินใจร่วมกัน ต้องให้กำลังใจกันอยู่เสมอ และที่สำคัญในบางเรื่องที่อาจเห็นไม่ตรงกัน ต้องผลัดกันยอม เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้ ซึ่งการทำงานร่วมกันภายใต้ระบบและหน้าที่ที่ถูกแบ่งอย่างชัดเจน เชื่อว่าจะทำให้อนาคตของธุรกิจครอบครัวยั่งยืน


