ต้นแบบพุทธศิลปะคันธาระที่พิพิธภัณฑ์เปชวาร์
ถ้าปากีสถานสงบสุข ไม่มีสงคราม ไม่มีการสู้รบ ชาวพุทธคงหลั่งไหลไปกันมาก ดังที่ไปบูชาสังเวชนียสถานในอินเดียอย่างแน่นอน เพราะในสายตาของผม พุทธสถานและพิพิธภัณฑ์ในปากีสถานมีมาก
ถ้าปากีสถานสงบสุข ไม่มีสงคราม ไม่มีการสู้รบ ชาวพุทธคงหลั่งไหลไปกันมาก ดังที่ไปบูชาสังเวชนียสถานในอินเดียอย่างแน่นอน เพราะในสายตาของผม พุทธสถานและพิพิธภัณฑ์ในปากีสถานมีมาก
โดย...สมาน สุดโต
ก่อนที่จะนำท่านผู้อ่านเข้าสู่เรื่องพุทธศิลปะคันธาระ ที่พิพิธภัณฑ์เปชวาร์ ปากีสถานนั้น ขอแสดงความสลดใจที่เกิดสงครามกลางเมืองในประเทศไทย มีคนไทยตายเพราะฆ่ากันเอง ที่บาดเจ็บมีหลายร้อยคน สาเหตุมาจากการเมือง
สงครามกลางเมือง
สงครามกลางเมือง คือสงครามที่ทำลายประเทศชาติทุกๆ ด้าน ทั้งความเป็นมนุษย์ ทำลายสายสัมพันธ์ต่างๆ และสถาบันหลักที่มีอยู่ในประเทศ ประชาชนขาดความไว้เนื้อเชื่อใจ หวาดระแวงกันตลอด สภาพมิคสัญญีเกิดทุกแห่งหน
ต่อไปสิ่งที่เราไม่เคยเห็นในเมืองหลวงก็จะได้เห็น เช่นบ้านผู้นำทางการเมืองหรือบุคคลสำคัญ สถานที่ทำการรัฐบาล สถานราชการ ต้องสร้างแนวป้องกัน เช่นตั้งกระสอบทรายเป็นแนวยาวตามกำแพงบ้าน หรือที่ทำการรัฐบาล พร้อมทั้งบังเกอร์ และยามมีอาวุธครบมือเพื่อป้องกันการโจมตีจากฝ่ายตรงข้าม
บุคคลสำคัญจะเดินทางไปไหน มาไหน ใกล้หรือไกล ต้องมีการ์ด ต้องมีหน่วยคอมมานโด อาวุธครบมือคุ้มกันตลอดเส้นทาง
สถานที่เช่นโรงแรมจะต้องตั้งเครื่องตรวจสอบระเบิด และอาวุธ ใครผ่านเข้าออกต้องถูกตรวจสอบไม่ว่าจะเป็นใคร และเวลาใด ไม่มียกเว้น
เรื่องที่ผมเล่ามา เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในประเทศปากีสถานที่ผมกับคณะองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (พ.ส.ล.) ไปเยือนเมื่อวันที่ 22-28 มี.ค. 2553 ที่ผ่านมา ได้สังเกตเห็นและได้รับการคุ้มกัน เพื่อรักษาความปลอดภัยเข้มงวดแบบที่ไม่เคยได้รับที่ไหนมาก่อน เพราะประเทศนั้นมีทั้งสงครามกลางเมือง มีทั้งการทำสงครามกับกลุ่มตาลีบันจนถึงขณะนี้
การเกิดสงครามกลางเมือง ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติต่างศาสนาไม่กล้าเข้าไปในประเทศปากีสถาน ทั้งๆ ที่บางเมืองเป็นเมืองที่สงบสุข สะอาด น้ำใสไฟสว่าง มีสิ่งที่น่าดู น่าศึกษา น่าเที่ยวชมมากมาย แต่ภาพการก่อการร้ายและสงครามจากจุดเล็กๆ ในบางที่บางแห่ง ส่งรังสีความโหดร้ายน่ากลัว ไม่ปลอดภัยต่อชีวิตแผ่กระจาย ทำให้ภาพที่ดีๆ ของประเทศเลือนหายอย่างน่าเสียดาย
ประเทศไทยของเราซึ่งเคยเป็นประเทศสงบสุขและสันติ ประชาชนอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข กำลังมีสภาพเช่นนั้นกลายเป็นประเทศที่ไม่มีใครอยากมาเที่ยว เพราะคนไทยฆ่ากันเอง แม้จะมีบทเรียนให้จดจำจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา ที่ฆ่ากันตายเป็นล้านคน เวียดนามแบ่งเป็น 2 ประเทศ ฆ่ากันตายไปไม่รู้เท่าไร ลาวเหนือ ลาวใต้กลายเป็นดินแดนสงคราม แต่คนไทยไม่เคยนำมาเป็นบทเรียน กลับทำเรื่องที่ประเทศเพื่อนบ้านเราทำมาแล้ว จนถึงขณะนี้ประเทศเพื่อนบ้านสงบสุขต่างหัวเราะเยาะคนไทยและประเทศไทยกันแล้ว
สงครามกลางเมือง ที่มีเหตุจากการเมืองครั้งนี้ จะไม่มีวันสิ้นสุด ฆ่ากันในวันนี้ยังไม่พอ จะมีการฆ่ากันต่อไปในวันข้างหน้าอีก
พุทธศิลปะคันธาระ
มาเล่าเรื่องพุทธศิลปะคันธาระดีกว่า จะได้สบายใจขึ้นมาบ้าง
พระราชธรรมมุนี เขียนไว้ในเรื่อง มหาชนบท 16 แคว้นครั้งพุทธกาล ว่า แคว้นคันธาระ เป็นหนึ่งในมหาชนบท 16 แคว้น ตั้งอยู่ทางเหนือหรือตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย กินเนื้อที่ทั้งสองฟากของแม่น้ำสินธุ (Sindhu) อันเป็นแม่น้ำสำคัญสายหนึ่ง ปัจจุบันได้แก่เขตจังหวัดเปชวาร์ และราวัลปินดี (Peshwar, Rawalpindi) แห่งประเทศปากีสถาน
คันธาระกับแคว้นสุดท้ายของมหาชนบท 16 แคว้น คือ กัมโพชะ ตั้งอยู่ในส่วนพื้นที่ซึ่งเรียกว่าอุตตราปถะ หรือดินแดนส่วนเหนือของชมพูทวีปซึ่งจัดเป็นเขตปัจจันตชนบท
ว. ณ ประมวลมารค เขียนไว้ในตามเสด็จปากีสถาน ว่า เมืองนี้เรียกอย่างกรีกครั้งอเล็กซานเดอร์มหาราช ว่า Pushkalavati บางแห่งสะกดว่า Pushkaravati และสมัยต่อมาว่า Purushapura เป็นเมืองหลวงของแคว้นคันธารราษฎร์แต่ครั้งโบราณ
ส่วนการเกิดพุทธศิลปะคันธาระนั้น ตามประวัติกล่าวว่า เริ่มในสมัยพระเจ้ากนิษกะ แห่งราชวงศ์กุษาณะ ซึ่งครองราชย์ในราว พ.ศ. 621 พระเจ้ากนิษกะพระองค์นี้ทรงเลื่อมใสพระพุทธศาสนา ทรงบำรุงและเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นการยิ่งใหญ่มาก ทำให้พุทธศาสนามหายานยกย่องพระองค์เทียบเท่าพระเจ้าอโศกมหาราชทีเดียว
พระพุทธรูปศิลปะคันธาระที่ตั้งแสดงที่พิพิธภัณฑ์เปชวาร์ รอคอยชาวพุทธและนักศึกษา นักโบราณคดีให้เข้าไปชมนับร้อยนับพันองค์นั้น ล้วนเป็นพระพุทธรูปที่เคยอยู่ที่ตัก-อิ-ไบ จังหวัด N.W.F.P. ซึ่งเป็นสำนักและพุทธสถานขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนเชิงเขา ปัจจุบันองค์การยูเนสโกขึ้นทะเบียนพุทธสถานแห่งนี้เป็นมรดกโลก
การที่เราชาวพุทธมีพุทธศิลปะสวยงามระดับโลกที่สร้างมานับพันปีให้ได้ปลื้มใจและบูชานั้น ต้องขอบคุณนักโบราณคดีทั้งชาวอังกฤษและชาวปากีสถาน ที่มีสายตายาวไกลและเป็นธรรม ที่อนุรักษ์ศิลปะโบราณอายุนับพันปีให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาและชาวพุทธได้บูชาทุกวันนี้ โดยเฉพาะเซอร์จอห์น มาร์แชล นักโบราณคดีชาวอังกฤษ
ผมบันทึกประสบการณ์วันที่ 25 มี.ค. 2553 ว่า หลังจากรับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมแมริออท กรุงอิสลามาบัด ก็เดินทางมุ่งสู่เปชวาร์ ซึ่งอยู่ใกล้กับพรมแดนประเทศอัฟกานิสถานประมาณ 70 กิโลเมตรเท่านั้น
พวกเราพระ 4 รูป ฆราวาส 6 คน เดินทางด้วยรถยนต์ 3 คัน พร้อมทั้งตำรวจคุ้มกันอีก 1 คัน ไปตามถนนไฮเวย์กว้างใหญ่ แต่รถไม่ค่อยมีวิ่งมากนัก นานๆ จะเห็นรถบรรทุกขนาดใหญ่ รวมทั้งรถพ่วงวิ่งไปสักคันสองคัน ส่วนรถเก๋งก็พอให้เห็นบ้าง จึงทำให้รถทำความเร็วได้ตามต้องการ เมื่อรถวิ่งมาได้ประมาณ 2 ชั่วโมง ก่อนเข้าเมืองเปชวาร์ ต้องจอดคอยรถทหารที่ให้การคุ้มกันอีก 1 คัน ที่มีคอมมานโดอาวุธครบมือพร้อมยิง นำขบวนพร้อมเปิดไซเรนไปด้วย
ที่เมืองเปชวาร์ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ พอข้ามสะพานก็แปรสภาพจากที่ไม่ค่อยมีรถบนถนนไฮเวย์ มาเป็นทุกพื้นที่เต็มไปด้วยรถประเภทต่างๆ ทั้งรถบรรทุก รถเก๋ง รถลากและสามล้อเครื่อง ที่ไม่เหมือนตุ๊กตุ๊กเมืองไทย วิ่งกันขวักไขว่เต็มถนน บนทางเท้าเต็มไปด้วยประชาชนชาวปากีสถาน ส่วนมากเป็นผู้ชายที่แต่งกายชุดประจำชาติ ไม่สีขาวก็สีน้ำตาล กางเกงขาวยาวกรอมเท้า เสื้อใหญ่ๆ หลวมๆ ยาวถึงก้นทุกคน
เมื่อรถมาก คนมาก ทำให้การเดินทางติดขัด รถนำขบวนเปิดทั้งไซเรนและบีบแตร ก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะดูแล้วแต่ละคนแต่ละคันก็อยากไปด้วยกันทั้งนั้น จึงไม่ค่อยมีใครหลีกทางให้ จนกระทั่งเวลา 10.00 น. จึงเดินทางถึงพิพิธภัณฑ์เปชวาร์ที่อยู่ในเมือง ใกล้ที่ทำการรัฐบาลหลายแห่ง แต่ละแห่งมีกระสอบทรายเป็นแนวป้องกัน พร้อมทั้งบังเกอร์ที่ทหารพร้อมอาวุธเฝ้าสังเกต รวมทั้งที่พิพิธภัณฑ์ เมื่อพวกเราเดินทางไปถึง ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ออกมาต้อนรับนำชมพระพุทธรูปที่ตั้งแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ที่มีอยู่มากมาย
ทุกคนพอได้เห็นก็ต้องตกตะลึง เพราะไม่เคยเห็นพระพุทธรูปศิลปะคันธาระที่สวยงามมากมายเช่นนี้มาก่อน จึงได้แต่จ้องมองดู ถ่ายรูป ไม่ค่อยได้ฟังผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์เล่าพุทธประวัติและความเป็นมาพระพุทธรูปมากนัก ภาพที่ผมนำมาให้ชมนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ซึ่งล้วนแต่เป็นพระพุทธรูปในพิพิธภัณฑ์เปชวาร์ มีอายุนับพันปีทั้งสิ้น ส่วนงานชิ้นเอกได้แก่ พระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกรกิริยา
ถ้าปากีสถานสงบสุข ไม่มีสงคราม ไม่มีการสู้รบ ชาวพุทธคงหลั่งไหลไปกันมาก ดังที่ไปบูชาสังเวชนียสถานในอินเดียอย่างแน่นอน เพราะในสายตาของผม พุทธสถานและพิพิธภัณฑ์ในปากีสถานมีมาก และค่อนข้างอนุรักษ์ไว้อย่างสมบูรณ์ คอยให้ชาวพุทธไปชมและบูชาอยู่ทุกวัน


