ผู้มีธรรมดีรุกรานชาวบ้าน
อันว่าสมณะพระที่ดีย่อมไม่ทำมานะ แสดงอหังการมัยหการ และริษยาชาวบ้าน...อันนี้คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าว่าไว้นะครับ ซึ่งโดยสัจจะความจริงแล้วชาวบ้านอยู่ดีๆ ของเขาแล้วพระจะไปทำอย่างนั้นไม่ได้อยู่แล้ว ไม่งั้นเขาเรียกพระนักเลง
อันว่าสมณะพระที่ดีย่อมไม่ทำมานะ แสดงอหังการมัยหการ และริษยาชาวบ้าน...อันนี้คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าว่าไว้นะครับ ซึ่งโดยสัจจะความจริงแล้วชาวบ้านอยู่ดีๆ ของเขาแล้วพระจะไปทำอย่างนั้นไม่ได้อยู่แล้ว ไม่งั้นเขาเรียกพระนักเลง
เพราะถ้าทำก็เท่ากับตัดทางบิณฑบาตของตน กลายเป็นพระสร้างศัตรูหรือกระทำตัวเป็นศัตรูกับชาวบ้าน นำมาซึ่งความเสื่อมหลายเรื่อง ซึ่งก็อยู่ที่ว่าชาวบ้านจะมองพระเป็นศัตรูไปด้วยหรือไม่
เรื่องแบบนี้มีเกิดขึ้นในสมัยพระพุทธเจ้าครับ คือ มีพระไปรุกรานชาวบ้าน จนพระพุทธเจ้าต้องสั่งการลงโทษ และให้พระรูปนั้นไปขอโทษชาวบ้านคนนั้น
พระรูปนั้นคือพระสุธรรม (แปลว่าผู้มีธรรมดี) ส่วนผู้ที่ถูกพระรุกรานเป็นถึงเศรษฐีชื่อ “จิตตคฤหบดี” มีทรัพย์มากมาย ที่สำคัญไม่ได้รวยอย่างเดียว แต่ยังเป็นธรรมิกอุบาสก เป็นชาวพุทธที่มีศรัทธาตั้งมั่นในพระพุทธศาสนามาก
เกี่ยวกับ “จิตตคฤหบดี” นั้นเป็นชาวเมืองมัจฉิกาสัณฑะ แคว้นมคธ พ่อของท่านเป็นเศรษฐีมาก่อน ต่อมาเมื่อพ่อเสียชีวิตท่านก็ได้ขึ้นเป็นเศรษฐีแทน โดยก่อนมานับถือพุทธศาสนา เจ้าสัวจิตตะมีโอกาสพบพระมหานามะหนึ่งในปัญจวัคคีย์แล้วเกิดเลื่อมใสในความสำรวม จึงนิมนต์ไปฉันที่คฤหาสน์และได้สร้างที่พำนักแก่พระเถระในสวนชื่อ “อัมพาฏการาม” วันหนึ่งได้ฟังธรรมจากพระเถระแล้วได้บรรลุอนาคามิผล
และด้วยความที่จิตตคฤหบดีขบคิดพิจารณามนสิการธรรมอยู่เนืองๆ ทำให้เป็นผู้แตกฉานในธรรม จนสามารถอธิบายธรรมได้เป็นเลิศ ซึ่งความสามารถด้านนี้เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในเวลาต่อมา ท่านเคยโต้วาทะกับบุคคลสำคัญของศาสนาอื่นๆ มาแล้วหลายคน เช่นนิครนถ์นาฏบุตร ศาสดาของศาสนาเชน เป็นต้น
ทั้งยังเป็นเจ้าสัวที่ใจบุญมาก เวลาถวายทานได้ถวายทานอย่างประณีตมโหฬารติดต่อกันครึ่งเดือนก็เคยมี เคยพาบริวาร 2,000 คนบรรทุกน้ำตาล น้ำผึ้งน้ำอ้อย เป็นต้น จำนวนมากถึง 500 เล่มเกวียน ไปถวายพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์
สำหรับอัมพาฏการามนั้น เดิมจิตตคฤหบดีสร้างถวายพระมหานามะและนิมนต์ให้อยู่ประจำ แต่ว่าพระเถระพักอยู่ชั่วเวลาหนึ่งก็จาริกไปยังที่อื่น ทำให้ไม่มีพระอยู่ประจำ แต่ก็มีพระแวะมาพักอยู่ตลอดไม่เคยขาด
ต่อมามีพระรูปหนึ่งชื่อว่า “พระสุธรรม” เป็นพระปุถุชน ยังไม่ได้บรรลุมรรคผลอะไร มาพำนักเป็นเวลานานมากจนคิดไปเองว่าตนเป็นสมภารวัด
กระนั้นจิตตคฤหบดีแม้จะเป็นอริยบุคคลอนาคามีก็ยังต้องแสดงความเคารพกราบไหว้พระภิกษุปุถุชนอย่างพระสุธรรม เพราะถือว่าเพศบรรพชิตเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์ จึงได้อุปถัมภ์บำรุงหลวงพี่สุธรรมอย่างดี
วันหนึ่งพระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะเดินทางผ่านมา จิตตคฤหบดีจึงนิมนต์ให้ท่านทั้งสองพำนักอยู่ที่อัมพาฏการาม พร้อมนิมนต์ฉันอาหารที่บ้านในวันรุ่งขึ้น โดยนิมนต์พระสุธรรมไปฉันด้วย
ฝ่ายพระสุธรรมเห็นจิตตคฤหบดีให้ความสำคัญแก่พระอัครสาวกมากกว่าตนโดยไปนิมนต์อัครสาวกก่อนแล้วมานิมนต์ตัวเองในภายหลัง จึงไม่ยอมรับนิมนต์ พร้อมคิดแผนป่วนไว้ในใจแล้ว
จนใกล้รุ่งพระสุธรรมตื่นแต่เช้าครองจีวรอุ้มบาตรไปที่บ้านของเศรษฐี แม้เจ้าภาพนิมนต์ให้นั่งก็ไม่ยอมนั่ง เดินดูสักการะที่เขาเตรียมไว้เพื่อถวายพระอัครสาวกทั้งสอง ใคร่จะเสียดสีคฤหบดีผู้ใจบุญโดยชาติกำเนิดจึงเปรยขึ้นว่า
“สักการะที่เจ้าสัวเตรียมถวายพระดีทุกอย่าง แต่ขาดอยู่อย่างเดียว”
“ขาดอะไร พระคุณเจ้า” เจ้าสัวจิตตะถาม
“ขนมแดกงา คฤหบดี” (ขนมแดกงา เป็นขนมที่ชนชั้นขายแรงงานนิยมกิน แล้วพระสุธรรมใช้เป็นวาจาเสียดสีอุปมาด้วยการเหน็บแนมเศรษฐีและตระกูลของเศรษฐี) พระสุธรรมโพล่งขึ้นแล้วโกรธจนหน้าแดงพลางกล่าวกับเศรษฐีว่า คฤหบดี นั่นอาวาสของท่าน เราจักหลีกไป แม้จิตตคฤหบดีห้ามถึง 3 ครั้ง ก็หลีกไปสำนักพระพุทธเจ้าเล่าความถวายพระพุทธเจ้า
พระศาสดาตรัสกับพระสุธรรมว่า อุบาสกเป็นคนมีศรัทธาเลื่อมใส แต่ถูกเธอด่าด้วยคำเลว ดังนี้แล้ว จึงปรับโทษแก่พระสุธรรมให้สงฆ์ลงปฏิสารณียกรรม (ให้ระลึกถึงความผิดและบังคับให้ขอขมาเมื่อล่วงเกินคฤหัสถ์) แล้วส่งไปเพื่อขอโทษจิตตคฤหบดี
พระสุธรรมไปถึงบ้านคฤหบดี แม้จะพูดว่า คฤหบดีนั่นโทษของอาตมภาพเท่านั้น ขอโยมจงอดโทษแก่อาตมภาพเถิด แต่ถูกคฤหบดีปฏิเสธไม่อดโทษให้ ต้องกลับมาหาพระพุทธเจ้าอีก
ความจริงพระพุทธเจ้าทรงทราบว่า เศรษฐีก็จักไม่ยกโทษให้พระสุธรรม ด้วยทรงดำริว่าภิกษุนี้กระด้างเพราะมานะ ริษยา จึงไม่ทรงบอกอุบายเพื่อให้เศรษฐียกโทษ คงให้เดินทางไปหาเศรษฐีสิ้นระยะทาง 3 โยชน์
และพอพระสุธรรมกลับมาด้วยความผิดหวังพระพุทธเจ้าจึงให้ภิกษุรูปหนึ่งติดตามไปด้วยเพื่อเป็นพยาน ตรัสว่า เธอจงไปกับภิกษุนี้แล้วอุบาสกจะยกโทษให้
พร้อมตรัสวอนว่า ธรรมดาสมณะ ไม่ควรทำมานะหรือริษยาว่า วิหารของเรา ที่อยู่ของเรา อุบาสกของเรา อุบาสิกาของเรา เพราะเมื่อสมณะทำอย่างนั้น เหล่ากิเลสมีริษยาและมานะเป็นต้นย่อมเจริญในใจของสมณะนั้น
งั้นหลวงพี่บางรูปถ้ารู้ว่าเป็นพระก็อย่าไปอย่ารุกรานชาวบ้านนะครับ ชอบไม่ชอบปล่อยชาวบ้านเขาจัดการกันเอง แค่นี้แหละ


