‘เคพีเอ็นคือทุกสิ่ง’ กฤษณ์ ณรงค์เดช
“กฤษณ์ ณรงค์เดช” ประธานกรรมการ บริษัท เคพีเอ็น กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น บุตรชายคนโต
โดย...บงกชรัตน์ สร้อยทอง /ภาพ วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี
“กฤษณ์ ณรงค์เดช” ประธานกรรมการ บริษัท เคพีเอ็น กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น บุตรชายคนโตของ “ตระกูลณรงค์เดช” พี่ชายของ ณพ และ กรณ์ หลังจากที่สูญเสีย “คุณหญิงพรทิพย์” ผู้เป็นแม่ไปเมื่อเดือน ต.ค.ปีก่อน ก็เหมือนสูญเสียเสาหลักของบ้านหรือศูนย์กลางของครอบครัวไป คงเป็นเรื่องปกติที่จะทำให้สมาชิกในครอบครัวต้องรู้สึกเคว้งคว้าง แต่ชีวิตของผู้ที่เหลืออยู่โดยยังมีอีกหลายบริษัทภายใต้เครือเคพีเอ็นทั้งหมดยังต้องเติบโตตามหลักของหน่วยงานธุรกิจ สิ่งที่ทายาทจะต้องดำรงและสืบต่อไปนั่นคือ การทำให้ “เคพีเอ็น” เป็นแบรนด์ที่ยังคงอยู่คู่คนไทยไปอีกนานแสนนาน
*อิสระแบรนด์เคพีเอ็น
“กฤษณ์” ชอบศิลปะและอยากเป็นสถาปนิกมาตั้งแต่เด็ก และไม่ชอบคำนวณ แต่ก็พยายามเรียนจนจบระดับปริญญาตรีและปริญญาโทที่คณะบริหารธุรกิจ สาขาบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อมีโอกาสมาช่วยทางบ้านฟื้นฟูธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์จนกลับมามีกำไรและขายหุ้นบริษัทชิ้นส่วนรถยนต์ออกไป
จากนั้นได้เริ่มทุ่มเทเกี่ยวกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ 3 โครงการใหญ่ในพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ หลายพันล้านบาท ปี 2557 เขาตั้งใจจะผุดอภิมหาโปรเจกต์ยักษ์ที่เป็นแลนมาร์กต่อไปของกรุงเทพฯ ก่อนที่จะนำบริษัทนี้ไปจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
“ผมมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็ได้นำศิลปะแบบที่ผมชอบมาประยุกต์ผสมผสานกับการออกแบบในธุรกิจ ซึ่งเราไม่ได้รู้สึกกดดันตัวเอง แต่เรากลับรู้สึกว่าหากเราทำอะไรด้วยใจ ทำอะไรที่เรารักทุกอย่างมันจะออกมาดี ดังนั้นจึงบอกกับน้องๆ ว่า ใครอยากทำอะไรทำ ให้อิสระแต่ละคนเต็มที่ แต่ทำแล้วต้องนึกถึงคำว่า ‘เคพีเอ็น’ ที่คุณพ่อคุณแม่ได้สร้างมานานจนมีชื่อเสียงลอยมาอยู่ตรงหน้าไว้ก่อน และเขาเชื่อมั่นว่าหากน้องจะเริ่มทำโครงการอะไรใหม่หรือคิดจะขยายหรือสานต่อในธุรกิจที่ตัวเองทำอยู่ในมือ เชื่อว่าต่างคนต่างคำนึงถึงแบรนด์เคพีเอ็นมาก่อนเป็นลำดับแรก และไม่มีทางทำให้แบรนด์แบรนด์นี้เสียชื่อเด็ดขาด”
ที่สำคัญแม้เขาจะมีฐานะเป็นพี่ชายคนโต แต่เขาจะให้เกียรติและเคารพในการตัดสินใจของน้อง ยกเว้นเพียงแต่ว่าใครจะทำอะไรไปขอให้บอกกล่าวได้รับรู้เท่านั้นก็พอ
*แม่คือกำลังใจชั้นเยี่ยม
การจากไปของคุณหญิงพรทิพย์ผู้เป็นมารดา ทำให้ “กฤษณ์” เข้าใจว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตามปกติ แค่คิดว่าแม่เปลี่ยนเป็นสสาร เพียงแต่แม่ได้เปลี่ยนสถานะหรือรูปแบบอื่นๆ ไปเท่านั้น เพราะยังเชื่อว่าท่านยังอยู่ให้กำลังใจพวกเราใกล้ๆ เสมอ ความช็อกของเหตุการณ์สูญเสียครั้งนี้เสมือนเป็นเรื่องสะเทือนใจครั้งที่ 2 ของครอบครัว จากครั้งแรกคือการสูญเสียคุณยายที่พวกเราต่างคนต่างก็สนิทกันมาก คลุกคลีคลอเคลียกับคุณยายมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนเด็กอาจจะมีสภาพที่ช็อกกว่า แต่ตอนนั้นเราไม่สามารถบริหารจิตใจได้ดีเท่าตอนโตเป็นผู้ใหญ่เหมือนปัจจุบันนี้
สิ่งหนึ่งที่เราพยายามยึดหลักในการดำรงชีวิตคือ การเป็นผู้ให้และผู้รับ เหมือนเหรียญที่ย่อมต้องมีสองด้านเสมอ เพราะแม่สอนให้เราคิดว่า หากเราเป็นผู้ให้ความรัก ความซื่อสัตย์ ความจริงใจไปก่อนนั้น อีกหน่อยเราก็จะกลายเป็นผู้ได้รับสิ่งเหล่านั้นกลับมา ฉะนั้นจะทำอะไรก็จะนึกถึงสองด้านเสมอ
“ทุกวันนี้ แม่ ยังคงเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานทั้งตัวผมและพนักงานทุกคนเสมอ อย่างน้อยผมเชื่อว่าความผูกพันระหว่างแม่กับพนักงาน ระหว่างแม่กับผู้บริหาร หรือระหว่างแม่กับลูกๆ ยังคงสืบทอดต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง เพราะพนักงานหลายคนอยู่กับเราตั้งแต่บริษัทเกิดสมัยแรกๆ วันนี้ก็ยังอยู่”
เราอยู่กันแบบพี่น้อง แบบญาติสนิทมิตรสหายมานาน อย่างตอนนี้ผมไม่ต้องพูดอะไรมาก พี่ๆ น้องๆ ป้า เลขานุการ ต่างก็รู้ว่าผมต้องการอะไร ชอบทำงานแบบไหน เรารู้ว่าพนักงานคนนี้รักผม ผมเป็นหัวหน้าที่ไม่ดีก็จะมีคนคอยกระซิบผมคอยเตือนให้ เพราะทุกคนยังคงทำงานแบบเดิม และมีกำลังใจเดียวกันคือ คิดว่าแม่ยังคอยดูพวกเราทำงานกันอยู่ แค่นี้ต่างคนต่างก็สุขใจกันแล้ว
คำเตือนใจตัวเองและพนักงาน
“As you change your thinking your life changes.
It’s only a thought and a thought can be changed.
Every thought you think is creating your future.
So have a glorious thought and you will have a glorious life.”
“เมื่อคุณเปลี่ยนความคิด ชีวิตคุณเปลี่ยน
แค่ความคิดเท่านั้นก็สามารถเปลี่ยนคุณได้
ทุกความคิดของคุณคือการสร้างอนาคต
ฉะนั้นจงคิดดีและคุณจะมีชีวิตที่สวยงาม”
คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดที่เขาติดไว้บนชั้นผู้บริหารเพื่อเป็นเสมือนข้อเตือนใจของตัวเองและพนักงาน ชีวิตเราจะดี จะเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้นมาจากสิ่งเดียว นั่นคือ “ความคิด” ถ้าเราคิดดีทุกอย่างก็จะดำเนินไปตามครรลองที่เราคิดดี ฉะนั้นคิดดีไว้ก่อนทุกอย่างก็จะมีเรื่องราวดีๆ กลับเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน เรื่องการใช้ชีวิต หรือกัลยาณมิตรต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต
“กฤษณ์” ทิ้งท้ายว่า จริงๆ เรื่องทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น แม่ ครอบครัว ลูก เพื่อน มิตร การงาน ฯลฯ ล้วนเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เป็นเขาในวัยกว่า 46 ปีคนนี้ได้ เพราะทุกอย่างล้วนหลอมทำให้เขามีชีวิตที่แข็งแกร่งและพร้อมกลับขึ้นมาต่อสู้ได้ทุกครั้งเมื่อถึงเช้าวันใหม่ เพราะเขาจะเป็น กฤษณ์ คนใหม่ได้ทุกวัน หากเขามีแรงบันดาลใจที่แข็งแกร่งอย่างทุกวันนี้
แม้เคพีเอ็นในวันนี้จะไม่มีคุณหญิงพรทิพย์แล้ว แต่เชื่อได้ว่าลูกๆ หลานๆ แต่ละคนจะมี “เคพีเอ็น” เป็นแรงบันดาลใจในการมีชีวิต สร้างสรรค์สิ่งดีๆ และทำให้บริษัทเติบโตไปในทุกสายธารธุรกิจที่ครอบครัวณรงค์เดชได้ช่วยสร้างกันมา ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ การศึกษา หรือดนตรี


